จากการติดตามข่าวสารการเมืองในขณะนี้ บรรดาผู้สังเกตการณ์ทางการเมืองส่วนใหญ่มองว่าเป็นโอกาสอันดี ที่นายกรัฐมนตรีจะได้ปรับคณะรัฐมนตรีครั้งใหญ่ หลังจากที่ พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ยกขบวนลาออกทั้งคณะ หลังจากที่หัวหน้า คสช.ใช้อำนาจมาตรา 44 สั่งย้ายสลับตำแหน่ง ระหว่างอธิบดีกรมจัดหางาน กับรองปลัดกระทรวงแรงงานมีเสียงเรียกร้องทั้งจาก 2 พรรคการเมืองใหญ่ อันได้แก่พรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์ รวมทั้งสื่อมวลชน ขอให้นายกรัฐมนตรีปรับคณะรัฐมนตรี โดยเฉพาะรัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจที่เป็นทหารน่าจะได้เวลาพักผ่อน เพื่อเปิดทางให้ผู้ที่มีความรู้ความสามารถตรงกับงาน ได้เข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาของชาติ โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจระดับฐานรากคณะรัฐมนตรีของรัฐบาล คสช. (ก่อน รมว.แรงงานลาออก) รวมทั้งนายกรัฐมนตรีเป็นนายทหารถึง 12 คน เท่ากับ 1 ใน 3 ของ ครม. ทั้งคณะ 36 คน เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสำคัญๆ เช่น กลาโหม, มหาดไทย, เกษตรและสหกรณ์, ทรัพยากรธรรมชาติฯ, พลังงานและแรงงาน อาจจะเป็นผู้มีความรู้ความสามารถ แต่หลายคนผลงานไม่ประทับใจมีเหตุผลเร่งด่วนที่จะต้องปรับ ครม. คือการลาออกของ รมว.แรงงาน จะต้องแต่งตั้งรัฐมนตรีใหม่ ยังมีรัฐมนตรีอีกหลายคนที่ถูกร้องเรียน และกล่าวหาว่าถือครองหุ้นบริษัท ซึ่งต้องพ้นตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญ มีบางคนหรือหลายคนถูกวิจารณ์ ได้รับแต่งตั้งให้ทำงานที่ไม่ถนัด จึงขอให้จัดคนให้ถูกกับงาน เลือกงานให้ถูกกับคน ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานยังมีเหตุผลอื่นๆอีกในการปรับ ครม. เช่นเสียงวิจารณ์ว่าขณะนี้รัฐบาล คสช.อยู่ในขาลง ในด้านความนิยมหรือชื่นชมของประชาชน หลังจากยึดอำนาจปกครองประเทศมาเกือบ 4 ปี หากเป็นรัฐบาลเลือกตั้งก็ต้องครบวาระ หากผู้นำ คสช.ยังต้องการสืบทอดอำนาจ เป็นนายกรัฐมนตรีและจัดตั้งรัฐบาลต่อไป โอกาสนี้เป็นโอกาสที่ดีในการปรับ ครม. เพื่อเปิดทางให้ผู้ที่เหมาะสมแต่จะต้องปรับเพียงแค่ให้ได้ชื่อว่ามีการปรับ หรือปรับแค่เอาใจประชาชน แต่จะต้องคำนึงถึงประสิทธิภาพในการปฏิบัติหน้าที่ ต้องได้ผู้ที่มีความรู้ความสามารถ และประสบการณ์ที่ถูกกับงาน ต้องเป็นผู้ที่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และที่สำคัญอย่างยิ่งต้องไม่ยึดติดระบบอุปถัมภ์ ระบบพวกพ้องน้องพี่ โดยถือเสียงว่ามีการตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อแล้วหากรัฐบาล คสช.ต้องการสานต่ออำนาจ แต่ยังไม่สามารถสลัดตนออกจากกับดักระบบพวกพ้องได้ และยึดถือปฏิบัติต่อไป ในการแต่งตั้งตำแหน่งสำคัญๆต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรัฐมนตรีหรือ ส.ว.จะหนีไม่พ้นจากการถูกกล่าวหา กระทำการสวนทางกับหลักธรรมาภิบาล ไม่ยึดหลักนิติธรรม หลักคุณธรรมความรู้ความสามารถ หรือแม้แต่ความโปร่งใส.