การขับเคลื่อนทางดิจิทัลภายใต้นโยบายรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ e-Government กำลังเป็นหนึ่งในเทรนด์สำคัญที่รัฐบาลทั่วโลกมุ่งหน้าไปสู่ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ ETDA ได้รวบรวมทิศทางการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ของ 5 ประเทศมาเผยแพร่เพื่อชี้ให้เห็นว่าภาครัฐใน 5 ประเทศดังกล่าว มีการพัฒนาและผลักดันระบบดิจิทัลเพื่อให้บริการภาคประชาชนอย่างไร โดยประมวลจากการจัดอันดับจากดัชนีรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (E-Government Development Index : EGDI) ขององค์การสหประชาชาติ (United Nations: UN)“เดนมาร์ก” ที่ 1 ของ e–Governanceเดนมาร์ก เป็นประเทศในยุโรปที่มีค่าเฉลี่ยของการเป็น e-Government สูงสุดจาก 193 ประเทศสมาชิกสหประชาชาติ โดยมีค่าเฉลี่ยสูงสุดติดต่อกันมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2561 เดนมาร์กมีการจัดทำยุทธศาสตร์ด้านดิจิทัล เน้นเชื่อมโยงเทคโนโลยีเข้ากับระบบของหน่วยงานรัฐทั้งส่วนกลางและท้องถิ่น ทำให้ประชาชนเข้าถึงบริการสาธารณะมากกว่า 100 รายการ ขับเคลื่อนโดย NemID ที่ใช้เข้าถึงบริการของภาครัฐและเอกชนในทุกแพลตฟอร์ม เปรียบเสมือนเป็นกล่องจดหมายที่ปลอดภัยในการสื่อสารระหว่างรัฐและประชาชน มีการวางรากฐานโดยให้ประชาชนทุกคนลงทะเบียนในฐานข้อมูลกลาง หรือ Central Person Register (CPR) ถือเป็นก้าวแรก ก่อนเริ่มผลักดันเข้าสู่ระบบดิจิทัลจริงจังในปี 2544 ซึ่งมีการสร้างลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์สําหรับหน่วยงานทุกแห่งที่จำเป็นต้องใช้อีเมลในการทำงาน สื่อสารผ่านช่องทางดิจิทัลในที่ทำงานกัน จนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในปี 2554 ที่กำหนดให้ประชาชนทุกคนต้องมี Digital Post ซึ่งเป็นช่องทางการสื่อสารระหว่างรัฐและประชาชนทางออนไลน์ ส่วนในภาคธุรกิจก็มีการบังคับใช้ Digital Post เช่นเดียวกัน“เกาหลีใต้” ตัวท็อปฝั่งเอเชียเกาหลีใต้มีค่าเฉลี่ยการเป็นรัฐบาลดิจิทัลสูงเป็นอันดับ 2 ของโลก ในปี 2541 กระทรวงการปกครองและมหาดไทยได้ออกแผนกลยุทธ์เกี่ยวกับ e-Government ในศตวรรษที่ 21 ตั้งเป้าส่งมอบบริการบนนวัตกรรมอิเล็กทรอนิกส์ให้แก่ประชาชน ได้แก่ การจัดให้มีหน่วยงานแบบ One-Stop Service บริการประชาชนในทุกที่ทุกเวลา พร้อมผลักดันให้เป็น Non-Stop Service ที่ไม่หยุดนิ่ง ทั้งยังมีการเชื่อมโยงระบบข้อมูลกันอย่างสมบูรณ์ ในส่วนของภาคราชการ งานเอกสารถูกเชื่อมต่อกันไว้ด้วย Government Superhighway Network หรือ GSN เพื่อให้ข้อมูลทั้งหมดเชื่อมโยงกัน และเข้าถึงได้ง่ายผ่านระบบเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ ทำให้เป็นมาตรฐานเดียวกันให้ได้มากที่สุด และยังมีบริการภาษีอิเล็กทรอนิกส์ ประกันสุขภาพ และระบบการขอสิทธิบัตรทางอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น“เอสโตเนีย”พัฒนาอย่างก้าวกระโดดเอสโตเนีย ประเทศขนาดเล็กในทวีปยุโรป ด้วยจำนวนประชากร 1.3 ล้านคน ถือว่ามีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ในปี 2561 ดัชนีรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ของเอสโตเนียอยู่ในอันดับที่ 16 และในปี 2563 ขยับขึ้นมาอยู่อันดับ 3 ภายในเวลา 2 ปีเอสโตเนียมีระบบ e-Government ที่อาจถือว่าดีที่สุดในโลก ข้อมูลภาครัฐมีการเชื่อมต่อกันอย่างสมบูรณ์และครอบคลุมในทุกด้าน เป็นต้นแบบของหลายประเทศ เอสโตเนียใช้เวลาพัฒนาระบบการทำงานของ e-Government กว่า 17 ปี นับตั้งแต่ประกาศเอกราช มีการปรับปรุงการทำงานและการให้บริการของภาครัฐโดยใช้เทคโนโลยี ประชาชนเข้าถึงบริการภาครัฐได้ง่ายผ่านเว็บไซต์ e-Government ซึ่ง 99% ออนไลน์ตลอด 24 ชั่วโมง ประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงเว็บไซต์บริการภาครัฐผ่านการยืนยันตัวตนด้วย Electronic-ID และมีการนำเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) มาใช้ เพื่อสร้างความมั่นใจเรื่องความโปร่งใส“สิงคโปร์” ที่ 1 ในอาเซียนสิงคโปร์ ถือเป็นที่ 1 ในอาเซียน อันดับ 2 ของทวีปเอเชียและอันดับ 11 ของโลก โดยมีแนวคิดที่จะทำประเทศให้อัจฉริยะหรือ Smart Nation ด้วยข้อจำกัดด้านทรัพยากร รัฐบาลจึงต้องทำการบ้านอย่างหนัก นอกจากริเริ่มให้มีการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลหรือ Nation Digital Identity ยังมีการผลักดันระบบ E-Payments ให้การทำธุรกรรมทางการเงินเป็นเรื่องง่าย ทั่วถึง สร้างฐานข้อมูลให้เป็นฐานข้อมูลเดียว จัดเก็บในรูปแบบ Big Data เพื่อนำมาวิเคราะห์ กำหนดทิศทางนโยบายตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนให้มากที่สุด ในปี 2566 สิงคโปร์มีเป้าหมายมุ่งสู่การเป็น e-Government ยิ่งขึ้นไปอีก โดย 70% ของระบบราชการต้องอยู่บนคลาวด์ ข้าราชการทุกคนต้องมีความรู้พื้นฐานด้านดิจิทัล ทุกกระทรวงจะต้องมีโครงการ AI หรือปัญญาประดิษฐ์อย่างน้อย 1 โครงการเพื่อให้บริการหรือสร้างนโยบาย การส่งข้อมูลระหว่างหน่วยงานต้องใช้เวลาแค่ไม่เกิน 7 วันทำการ โดยทุกกระทรวงจะต้องเสนอแผนในการใช้ AI ในการผลักดันงานรัฐบาลด้วย“ไทย” เดินทางต่อไปดัชนีรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ของไทยไต่อันดับจากปี 2561 ซึ่งอยู่อันดับที่ 73 ขยับเป็น 57 ในปี 2563 หลายหน่วยงานของรัฐเดินหน้าให้บริการประชาชนเพิ่มความสะดวก รวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็น ระบบ e-LandsAnnoucement เผยแพร่ประกาศสำนักงานที่ดินเพื่อการรักษาสิทธิ์ในที่ดินของประชาชนผ่านอินเตอร์เน็ต ระบบ Tax Single Sign On ที่มีการยืนยันตัวตนแบบ One-Time Password (OTP) เพื่อความปลอดภัย ซึ่งเป็นระบบ e-Service ด้านภาษีของกรมสรรพากร กรมสรรพสามิต และกรมศุลกากร ภายใต้กระทรวงการคลัง และระบบ SSO Connect ของสำนักงานประกันสังคม สร้างบัตรประกันสังคมแบบเสมือน เพื่อให้บริการตรวจสอบสิทธิประโยชน์ต่างๆ นอกจากการสนับสนุนให้เกิดการใช้งาน Digital Signature การขยายระบบ e-Saraban ไปยังหน่วยงานภาครัฐอื่นๆเพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลร่วมกันมากขึ้น รวมถึงกำกับและดูแลธุรกิจบริการดิจิทัล (Digital Service) เดินหน้าผลักดันให้เกิดการบังคับใช้ (ร่าง) พ.ร.ฎ.การประกอบธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัล.