ยิ่งผู้คนกระหายต่อข้อมูลข่าวสารมากเท่าไร เฟกนิวส์ (Fake News) หรือข่าวปลอมก็ยังจะสามารถวนเวียน หลั่งไหลอยู่รอบตัวเราได้เสมอ และจะยิ่งสร้างความเสียหายในสถานการณ์ที่เปราะบางเช่นนี้
เพราะข้อมูลที่ไม่ได้ผ่านการตรวจสอบและไม่เป็นความจริง สามารถก่อให้เกิดความสับสน และที่ร้ายแรงที่สุดคือ อาจก่อให้เกิดความหวาดกลัวและตื่นตระหนกโดยไม่จำเป็น
จากการศึกษาของ YouGov ซึ่งได้รับการสนับสนุนโดยเฟซบุ๊กระบุว่า ผู้ตอบแบบสอบถามในไทยจำนวน 42% และ 41% เท่านั้นที่บอกว่าสามารถระบุข่าวปลอมและโปรไฟล์ปลอมได้
เพื่อต่อสู้กับเฟกนิวส์ที่ยังยืนระยะได้อย่างแข็งแกร่งบนโลกออนไลน์ เฟซบุ๊กประเทศไทยจึงได้เผยแพร่ 5 เคล็ดลับจับสังเกตข่าวปลอมแบบง่ายๆภายใต้โครงการ We Think Digital Thailand เพื่อหวังให้สังคมออนไลน์ในภาพรวม มีความน่าเชื่อถือและปลอดภัยยิ่งขึ้น
1.ตรวจสอบลักษณะของโพสต์ สังเกตวิธีพาดหัวข่าว ข่าวปลอมส่วนใหญ่มักใช้คำพาดหัวข่าวที่เล่นกับอารมณ์ความรู้สึกหรือใช้เทคนิคเพื่อดึงดูดความสนใจ เช่น ใช้ภาษาอังกฤษตัวพิมพ์ใหญ่ทั้งหมด หรือการใช้เครื่องหมายอัศเจรีย์ (!) จำนวนมาก หัวข้อข่าวที่ใช้ถ้อยคำแบบสุดโต่งหรือเกินจริง มักมีแนวโน้มเป็นข่าวปลอม อย่างไรก็ตามถือเป็นเรื่องดีที่ 71% ของผู้ตอบแบบสอบถามชาวไทยระบุว่า พวกเขาอ่านบทความจนจบก่อนแชร์ต่อ
ขณะที่ชื่อของเว็บไซต์หรือที่อยู่ของเว็บไซต์ (URL) มักพยายามลอกเลียนแบบจากเว็บไซต์จริง โดยแทรกจุดแตกต่างเล็กน้อยเข้าไปแทน เช่น การใช้ตัวไอพิมพ์ใหญ่ (I) เพื่อแทนตัวแอลพิมพ์เล็ก (l) หรือการใช้เลขศูนย์ (0) แทนตัวโอ (o)

...
2. ตรวจสอบเว็บไซต์ เมื่อตัดสินใจกดลิงก์แล้ว ให้วิเคราะห์ลักษณะหน้าเพจของบทความ ตรวจสอบชื่อของผู้เขียน แล้วค้นหาข้อมูลดูว่าน่าเชื่อถือหรือไม่ โดยอาจพิจารณาจากบทความอื่นๆที่เขียนขึ้นโดยผู้เขียนคนเดียวกัน แนะนำให้อ่านข้อมูลในส่วน “เกี่ยวกับเรา” บนหน้าเว็บไซต์นั้นๆ เพื่อทำความรู้จักเว็บไซต์หรือองค์กรนั้นให้มากขึ้น บ่อยครั้งที่ข่าวปลอมส่วนใหญ่จะใส่วันที่คลาดเคลื่อน สะกดคำผิด จัดวางข้อความแปลกๆ รวมถึงใช้รูปหรือวิดีโอที่ถูกปรับแต่ง ในบางครั้งรูปภาพนั้นอาจเป็นรูปภาพจริง แต่ถูกนำมาเปลี่ยนแปลงบริบท
3. สังเกตบุคคลอ้างอิงในบทความ ส่วนใหญ่ข่าวปลอมจะมีการอ้างอิงหรือยกคำพูดของผู้เชี่ยวชาญมา แต่ไม่มีการกล่าวชื่ออย่างชัดเจน เช่น “ผู้เชี่ยวชาญท่านหนึ่งกล่าวว่า...” จึงแนะนำให้ตรวจสอบแหล่งที่มาของข้อมูลอีกครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่าสิ่งที่ผู้เขียนกล่าวถึงนั้นเป็นความจริง โดยอาจดูเพิ่มเติมจากบทความหรืองานศึกษาอื่นๆ
4. เปรียบเทียบจากการพาดหัวข่าวและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ลองดูแหล่งข่าวอื่นว่ามีการรายงานข่าวเดียวกันหรือไม่ และตรวจสอบจากแหล่งข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือ เช่น ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO) หรือจากกระทรวงสาธารณสุข เป็นต้น ข้อมูลจะมีแนวโน้มความน่าเชื่อถือมากขึ้น หากมีสำนักข่าวจำนวนมากรายงานถึง
5.รับฟังข้อมูลอย่างเป็นทางการล่าสุดเกี่ยวกับสถานการณ์โควิด-19 จากองค์กรด้านสุขภาพและอนามัยของท้องถิ่นและนานาชาติเท่านั้น.