ครอบครัวเด็กเชื่อมจิตบุกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ยื่นเรื่องร้องเจ้าหน้าที่กระทรวงฯ สุราษฎร์ธานี ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ อธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน รับเรื่องพร้อมตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง ระบุการทำงานของเจ้าหน้าที่เป็นไปตามกฎหมายคุ้มครองเด็ก เผยศาลเยาวชนฯสุราษฎร์ ยืนนัดไต่สวนปกติวันที่ 17 มิ.ย. หลังเจ้าหน้าที่ยื่นร้องไต่สวนฉุกเฉินอีกรอบ จากนั้นเดินสายไป บช.ก.หอบหลักฐานมอบตำรวจ ปอท.แจงความบริสุทธิ์ใจเรื่อง “เชื่อมจิต” ยันเป็นเรื่องความเชื่อ เตรียมเชื่อมจิตโชว์ 15 มิ.ย. ใครข้องใจร่วมท้าพิสูจน์ เสร็จแล้วบุกวัดสวนแก้วไปขอจับมือพระพยอม ด้าน ผบก.น.5 นำทีมตำรวจ สน.ทองหล่อพบ “หนุ่ม-กรรชัย” ขอโทษที่เกิดกระทบกระทั่งกัน สวป.ที่ห้ามพิธีกรคนดังไม่ให้เข้าห้องน้ำ ยันไม่มีเจตนาสร้าง 2 มาตรฐาน แต่ทำเพราะไม่อยากให้ 2 ฝ่ายปะทะกัน

ความคืบหน้าประเด็นร้อนแรงแซงดราม่าแซ่บๆ หลายเรื่องกรณี “พ่อแม่ลูกครอบครัวเชื่อมจิตและทนายความส่วนตัว” ไปรับทราบข้อกล่าวหาที่ สน.ทองหล่อในคดีหมิ่นประมาท “หนุ่ม-กรรชัย” พิธีกรคนดัง เมื่อบ่ายวันที่ 3 มิ.ย. และขณะที่หนุ่ม-กรรชัย ที่เดินทางไปติดตามคดีที่ตัวเองเป็นเจ้าทุกข์จะขอเข้าห้องน้ำภายใน สน.เพื่อปัสสาวะ แต่กลับถูกตำรวจห้ามไม่ให้เข้าจนเกิดปะทะคารมกันพักใหญ่ นอกจากนี้ระหว่างครอบครัวเชื่อมจิตกำลังเดินทางออกจาก สน.ถูกกลุ่มคนโห่ไล่เสียงดังลั่นทำให้เด็กเชื่อมจิตถึงกับออกอาการเหวอ รีบเผ่นแน่บขึ้นรถตู้เดินทางพร้อมครอบครัวออกจาก สน.ไปทันที

ต่อมาเมื่อเช้าวันที่ 4 มิ.ย. นายพิชญะ และ น.ส.นัฐพร พ่อแม่พร้อม ด.ช.ไนซ์วัย 8 ขวบ ลูกชายและนายธรรมราช สาระปัญญา ทนายความ เดินทางมาที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ยื่นหนังสือร้องเอาผิดเจ้าหน้าที่กระทรวงการพัฒนาฯ สุราษฎร์ธานี บางคนปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ มีกองทัพนักข่าวหลั่งไหลมาปักหลักรายงานข่าวพร้อมไลฟ์สด ขณะที่มีกลุ่มคนที่มีความเชื่อในลัทธิเชื่อมจิตมารอให้กำลังใจ ด.ช.ไนซ์ ทันทีที่ครอบครัวเด็กชายเชื่อมจิตลงจากรถตู้ กลุ่มคนเหล่านั้นพากันส่งเสียงเรียกอาจารย์น้องไนซ์ๆ จากนั้นเจ้าหน้าที่กระทรวงการพัฒนาสังคมฯและตำรวจนำตัว 3 พ่อแม่ลูก เข้าพบนางอภิญญา ชมภูมาศ อธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน ที่ห้องปฏิบัติการ 1300 พูดคุยประมาณ 1 ชม. ก่อนที่พ่อแม่พร้อม ด.ช.ไนซ์และทนายความได้หลบนักข่าวขึ้นรถตู้ออกจากกระทรวงไป

...

นางอภิญญาเปิดเผยว่า พ่อแม่ ด.ช.ไนซ์มายื่นหนังสือ ขอให้ตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าที่กระทรวงการพัฒนาฯ ในพื้นที่ จ.สุราษฎร์ธานี หลังรับเรื่องต้องตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง พิจารณาข้อมูลข้อเท็จจริงจากเอกสารที่ยื่นมา รวมถึงข้อมูลจากจังหวัดในการทำงานของเจ้าหน้าที่หลังเกิดเหตุ กระทรวงได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 เข้าไปประเมินคุ้มครองเด็ก หากไม่ดำเนินการ อาจละเลยการปฏิบัติหน้าที่ได้เช่นกัน การพูดคุยได้ฝากคำแนะนำถึงพ่อแม่ผู้ปกครองว่า ขอให้คำนึงประโยชน์สูงสุดที่จะเกิดกับตัวเด็กและการคุ้มครองเด็กเป็นหลัก ทางพ่อแม่ด.ช.ไนซ์รับปากว่าจะดูแลเด็กให้ดีที่สุดเพราะมีลูกคนเดียว

เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงการประเมินด้วยสายตา ถึงปฏิกิริยาของครอบครัวและ ด.ช.ไนซ์เป็นอย่างไร นางอภิญญากล่าวว่า น้องเป็นเด็กปกติทั่วไปพ่อแม่ก็ปกติ การพูดคุยเป็นไปด้วยความปรารถนาดีกับครอบครัวและเด็ก กระทรวงต้องให้ความคุ้มครอง หากเด็กได้รับการเลี้ยงดูที่ไม่เหมาะสม แต่ดูจากวันนี้ความสัมพันธ์พ่อแม่ลูก ดูมีความรักความอบอุ่นที่ดี ได้คุยกับตัวเด็กได้ถามความเป็นอยู่ น้องพูดคุยให้ข้อมูลด้วยท่าทีเป็นเด็กปกติ แต่ในเชิงลึกจะมีภาวะอย่าง ไรหรือไม่ ไม่สามารถตอบได้เพราะตนไม่ใช่หมอเด็ก

นางอภิญญากล่าวด้วยว่า สำหรับการยื่นต่อศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดสุราษฎร์ธานีขอให้ไต่สวนกรณีฉุกเฉิน ให้พ่อแม่ยุตินำเด็กไปแสวงหาประโยชน์และขอให้พ่อแม่ให้ความร่วมมือในการกำหนดแผนการดูแลเด็กร่วมกับกระทรวงหลังจากการยื่นร้องศาลรอบแรก ศาลนัดไต่สวนปกติในวันที่ 17 มิ.ย. เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาได้ยื่นร้องขอศาลไต่สวนเป็นกรณีฉุกเฉินอีกครั้ง ศาลพิจารณาแล้วยืนยันให้เป็นการไต่สวนปกติในวันที่ 17 มิ.ย. ระบุว่ามีข้อมูลที่ไม่เพียงพอต่อความจำเป็นในกรณีที่ต้องไต่สวนฉุกเฉิน จากนี้ต้องเตรียมข้อมูลต่างๆเพื่อยื่นต่อศาลไต่สวน

ผู้สื่อข่าวถามถึงความคิดเห็นต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นางอภิญญากล่าวว่า เป็นเรื่องของความเชื่อ ส่วนความเชื่อจะกระทบต่อการคุ้มครองสวัสดิภาพเด็กหรือพัฒนาเด็กที่เหมาะสมตามช่วงวัยหรือไม่ ประเด็นนี้เป็นสิ่งที่ต้องเข้าไปดูแล ส่วนความจำเป็นที่จะต้องแยกตัวเด็กออกจากครอบครัวหรือไม่อย่างไร ต้องรอศาลตัดสิน ต้องเคารพดุลพินิจของศาล ต้องรวบรวมข้อมูลเอกสารให้มากที่สุด โดยคำนึงถึงตัวเด็กเป็นสำคัญเพื่อประกอบคำวินิจฉัยของศาล

จากนั้นพ่อแม่ลูกครอบครัวเชื่อมจิต เดินทางไปที่ศูนย์รับแจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) ถนนพหลโยธิน เข้ายื่นหลักฐานเพิ่มเติมให้กับ พล.ต.ต.อธิป พงษ์ศิวาภัย ผบก.ปอท.และคณะพนักงานสอบสวน บก.ปอท. ชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีที่เคยถูกนายอนันต์ชัย ไชยเดช ประธานมูลนิธิทนายกองทัพธรรม แจ้งความเอาผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ข้อหานำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จสู่ระบบคอมพิวเตอร์

นายธรรมราชกล่าวว่า เมื่อวันที่ 13 พ.ค.มีทนายความชื่อดังท่านหนึ่งแจ้งเอาผิดกับครอบครัวน้องไนซ์ ข้อหานำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จสู่ระบบคอมพิวเตอร์และฉ้อโกงประชาชน ขอยืนยันว่าไม่ได้เป็นไปตามที่ถูกกล่าวหา เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของความเชื่อ ญาติธรรมที่มาในวันนี้ยืนยันได้ว่าพวกเขาศรัทธาเพราะคำสอน ไม่ได้ยึดติดที่ตัวน้องไนซ์ การที่น้องไนซ์เคยอธิบายความหมายของคำว่า “วิปัสสนากรรมฐาน” ว่าคือ “การซูม” เป็นคำอธิบายสั้นๆที่เข้าใจง่าย เพราะการซูมคือการขยายรายละเอียดให้กระจ่างชัด แต่อย่างที่บอกทั้งหมดเป็นเรื่องของความเชื่อ เรื่องหลักคำสอน สิ่งเหล่านี้สามารถพิสูจน์ได้ ไม่ใช่เรื่องผิด วันนี้นำหลักฐานมามอบให้เจ้าหน้าที่ใช้ประกอบการพิจารณา ยืนยันว่าจะไม่เข้าไปก้าวล่วงการทำหน้าที่ของพนักงานสอบสวน

ด้านแม่เด็กชายเชื่อมจิตกล่าวว่า การเข้าพบอธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน กระทรวงการพัฒนาสังคมฯเมื่อช่วงเช้าวันเดียวกัน ลูกมีโอกาสพูดคุยอธิบายที่ไปที่มาขององค์ความรู้ต่างๆ ว่าได้มาจากที่ใด การพูดคุยเป็นไปด้วยความประทับใจ มีการสวมกอดกัน ท่านรับปากว่าจะช่วยดูแลเรื่องที่เกิดขึ้นให้ รวมถึงจะให้ความคุ้มครองกรณีที่น้องถูกคุกคาม ส่วนเหตุการณ์ที่ สน.ทองหล่อ เป็นการไปรับทราบข้อกล่าวหา เดิมทีตั้งใจจะไปวันที่ 4 มิ.ย. แต่เมื่อมาถึง กทม.เมื่อวันที่ 3 มิ.ย.น้องไนซ์บอกว่าจะไปทันที พร้อมบอกว่าสิ่งที่จะได้เห็นที่ สน.ทองหล่อจะได้เห็นหมดว่าอะไรเกิดขึ้นกับน้องบ้าง สิ่งเหล่านี้แม่จะใช้เป็นหลักฐานในศาลได้ ความหมายไม่ได้ต้องการจะสื่อว่าน้องไนซ์ล่วงรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าในอนาคตได้ เพียงแต่เวลาน้องพูดเช่นนี้ทีไรมักจะไม่เคยพลาด

“ยืนยันว่าที่ สน.ทองหล่อ น้องไนซ์ไม่ได้มีพฤติกรรมก้าวร้าว มีแต่ภาพความประทับใจ บรรยากาศที่อบอุ่น ระหว่างน้องไนซ์กับตำรวจ ส่วนเรื่องแจ้งความเอาผิดผู้ที่เผยแพร่รูปภาพตัดต่อ หรือประโยคคำพูดต่างๆที่น้องไนซ์ไม่ได้พูดในลักษณะบิดเบือนไปจากข้อเท็จจริง หรือด่าทอครอบครัวเชิงคุกคาม มีหลักฐานเป็นคลิปและภาพเสียงอยู่ในไลฟ์สด จะเร่งดำเนินการทางกฎหมาย ทั้งนี้ สิ่งไหนที่ลูกทำแล้วมีความสุข ในฐานะคนเป็นพ่อและแม่ ต้องปล่อยให้เขาทำ แต่เมื่อมีคนมาคุกคามเราต้องปกป้อง โดยใช้กระบวนการตามขั้นตอนกฎหมาย ส่วนกรณีมีการนำเสียงไปใช้ในรายการวาไรตี้ข่าวช่องหนึ่ง ยืนยันว่าเราไม่ได้อนุญาต ไม่ได้เต็มใจให้มีการเผยแพร่เสียงออกอากาศ ขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณาข้อกฎหมายว่าจะดำเนินการอย่างไรได้บ้าง สุดท้ายนี้อยากฝากถึงคนที่ชอบวิเคราะห์ทิพย์ อยากให้มาดูด้วยตัวเอง วันที่ 15 มิ.ย. น้องไนซ์จะมีสอนธรรมะและการเชื่อมจิต ผ่านทางออนไลน์ต่างๆ จึงอยากให้คนเหล่านี้มาร่วมพิสูจน์ด้วยตัวเอง” แม่เด็กชายเชื่อมจิตกล่าว

ขณะเดียวกัน หลังจากหนุ่ม-กรรชัย พิธีกรรายการโหนกระแส บุก สน.ทองหล่อเมื่อวันที่ 3 มิ.ย.นั้น ต่อมาเวลา 14.30 น. วันที่ 4 มิ.ย.ตำรวจ สน.ทองหล่อได้บุกมาช่อง 3 อาคารมาลีนนท์ ถ.พระรามสี่ เขตคลองเตย มาพบหนุ่ม-กรรชัยบ้าง โดย พล.ต.ต.วิทวัฒน์ ชินคำ ผบก.น 5 พร้อมด้วย พ.ต.ท.ณัฐกิตติ์ จอกโคกสูง รอง ผกก.ป. พ.ต.ต.กฤษฎา ซอประเสริฐ สวป.สน.ทองหล่อ เดินทางมาที่อาคารมาลีนนท์ เข้าพบหนุ่ม-กรรชัย เพื่อปรับความเข้าใจและขอโทษในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ สน.ทองหล่อ

พล.ต.ต.วิทวัฒน์กล่าวว่า ที่มาเพราะต้องการอธิบายเหตุการณ์เมื่อวันที่ 3 มิ.ย.ให้คุณหนุ่มทราบ เพราะน้องๆ ส่วนหนึ่งทำงานท่ามกลางความกดดัน ไม่อยากให้เกิดกระทบกระทั่งกันทั้งสองฝ่าย บางครั้งการตัดสินใจอาจจะยังไม่สมบูรณ์ ในฐานะที่เป็นผู้บังคับการตำรวจนครบาล 5 อะไรที่ทำให้เกิดความไม่เข้าใจทั้งสองฝ่าย ต้องขอโทษแทนน้องๆด้วย

ขณะที่ พ.ต.ต.กฤษฎาผู้ที่ปะทะคารมกับหนุ่ม-กรรชัยและไม่อนุญาตให้หนุ่ม-กรรชัยเข้าห้องน้ำกล่าวว่า ต้องขอโทษพี่หนุ่มที่ตนใช้กิริยาไม่เหมาะสม เจตนาของตนไม่ได้จะแบ่งเป็นสองมาตรฐาน เพียงแต่จะป้องปรามไม่ให้เกิดเหตุการณ์ไม่ดีเท่านั้น ยอมรับว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่ภายใต้แรงกดดันในระดับหนึ่ง พยายามเต็มที่ที่จะไม่ให้เกิดเหตุการณ์ปะทะกัน เมื่อมีกระแสเชิงลบทราบว่ามันไม่ดี แต่ยืนยันว่าเราตั้งใจทำงานและจะขอปรับปรุงการทำงานของตนและผู้ใต้บังคับบัญชา จากนี้จะไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก

ด้านหนุ่ม-กรรชัยกล่าวว่า ส่วนตัวไม่ได้ติดใจและมีความเป็นห่วงมาตรการของตำรวจในการปฏิบัติต่อผู้ถูกกล่าวหาและตนซึ่งเป็นเจ้าทุกข์แบบสองมาตรฐาน ยอมรับว่าไม่สบายใจ เป็นผู้เสียหายได้รับการปฏิบัติเหมือนไม่ใช่ผู้เสียหาย แต่ผู้ต้องหากลับเป็นวีไอพีมีการปกป้องทุกอย่าง แม้แต่ขับรถออกไปแล้วยังมีตำรวจขับรถตามไปอีก ส่วนตนต้องนั่งมอเตอร์ไซค์กลับบ้าน ยอมรับว่าตอนแรกโกรธ การที่ตำรวจให้ผู้ถูกกล่าวหาพิมพ์ลายนิ้วมือที่ชั้นล่างของ สน.ทั้งที่ผู้ต้องหาทุกคน ปกติต้องขึ้นไปพิมพ์ที่ชั้นสองมันจะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ เมื่อจะขอเข้าห้องน้ำก็ถูกปฏิเสธอีก

ส่วนที่มีรายงานว่าแม่ ด.ช.ไนซ์แจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ ให้ดำเนินคดีหนุ่ม-กรรชัยและต้นอ้อ เพจเป็นหนึ่ง ข้อหาข่มขู่และคุกคามทำให้เกิดความหวาดกลัวนั้น พ.ต.อ.พันษา อมราพิทักษ์ ผกก.สน.ทองหล่อ กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ต้องรอให้พนักงานสอบสวนที่รับแจ้งรวบรวมข้อมูลเบื้องต้น ใช้เวลาประมาณ 3 วัน จะเสนอเรื่องเข้ามาที่ตนเพื่อช่วยตรวจสอบข้อเท็จจริงว่า มีหลักฐานพอเชื่อถือได้มากน้อยเพียงใด ก่อนจะพิจารณาดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายต่อไป

ช่วงเวลา 15.00 น.วันเดียวกันครอบครัวเด็กเชื่อมจิตและทนายความ รวมทั้งสาวกแฟนคลับกลุ่มนิรมิตเทวา เดินทางมาที่วัดสวนแก้ว อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี เข้านมัสการพระพยอม กัลยาโณ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว มีการพูดคุยสนทนากับพระพยอมราว 20 นาที แล้ว ด.ช.ไนซ์เดินเข้าไปหาพระพยอมขอสัมผัสมือพร้อมลงนั่งตรงหน้าพระพยอม ซึ่งก่อนหน้านี้พระพยอมได้ให้สัมภาษณ์สื่อ ตักเตือนสำนักพุทธศาสนาให้ตรวจสอบเรื่องนี้ จากนั้น ด.ช.ไนซ์และคณะพากันไปนั่งที่สะพานบุญหน้าน้ำตก ให้แฟนคลับถ่ายภาพก่อนออกจากวัด

พระพยอมกล่าวว่า ด.ช.ไนซ์มาที่วัดไม่ได้นัดหมายล่วงหน้า เขามาทำธุระที่ กทม.กำลังจะกลับ แต่พอมีเวลาเลยแวะมาหา สิ่งที่น่าสนใจมีคำถามที่เขากล้าถามว่าหลวงพ่อมีความเครียดไหม ก็ตอบไปแบบสนุกๆว่า เห็นหน้าเลยหายเครียด เห็นเขาเดินแจกสตางค์คนงานคนละ 20 บาท พอจะกลับเขาเดินมาขอจับมือเลยบอกว่าขอให้มือนี้สร้าง สรรค์โลก สักพักเขาก็พาคณะเดินทางออกจากวัดไป

อีกด้านหนึ่ง หลังจากเพจ “อีซ้อขยี้ข่าว” เปิดคลิปภาพน้องเชื่อมจิตใช้นิ้วแตะหน้าผากชายที่แต่งกายคล้ายตำรวจ ต่อมาการตรวจสอบทราบว่าเป็น ผกก.นายหนึ่งในพื้นที่ สภ.แห่งหนึ่งที่สุราษฎร์ธานี เรื่องนี้ พล.ต.ต.เสริมพันธ์ ศิริคง ผบก.ภ.จ.สุราษฎร์ธานี กล่าวว่า หลังเห็นคลิปได้พูดคุยกับ ผกก.ท่านนั้นแล้วว่ามีความเชื่อหรือไม่อย่างไร เจ้าตัวได้แต่ยิ้มไม่พูดอะไร ที่ผ่านมาไม่มีใครเป็นผู้เสียหาย จึงต้องปล่อยให้เป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละบุคคล ผู้กำกับคนดังกล่าวเป็นนักปฏิบัติธรรม เข้าใจว่าคงอยากจะทดลองดูว่ามันเป็นจริงหรือไม่อย่างไรมากกว่า

ทางด้าน น.ส.ชลดา ชนะศรีรัตนกุล ผอ.พมจ.สุราษฎร์ธานี กล่าวหลังจากทราบว่าแม่เด็กเชื่อมจิตจะแจ้งความดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่บางคน ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไร อยากจะแจ้งอะไรก็แจ้งไปเพราะเราไม่ได้ทำอะไรผิดมีแต่จะหาวิธีป้องกันคุ้มครองเด็กเพราะเห็นว่าเป็นเรื่องที่สำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง ที่สำคัญที่แม่เด็กเชื่อมจิตแจ้งความเอาผิดเจ้าหน้าที่ พม. และ นอภ.เมืองสุราษฎร์ฯ ครั้งที่แล้วก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร เท่าที่ทราบเห็นว่าไม่มีมูลที่จะเอาผิดกับเจ้าหน้าที่ได้

อ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ทั้งหมดที่นี่