“เสี่ยบี” ควงภรรยานิมนต์พระทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เหยื่อเคราะห์ร้าย 15 ศพ ก่อนแถลงเปิดใจทั้งน้ำตาเหตุโศกนาฏกรรมสลดเพลิงนรกไหม้ผับมรณะ ภาพสยองยังช็อกติดตาเครียดจัดถึงขั้นชวนกันไปฆ่าตัวตาย แต่ตั้งสติได้เข้าไปพบตำรวจ หลังได้ประกันตัวเร่งออกเดินสายร่วมงานศพและเยี่ยมคนเจ็บจ่ายเงินเยียวยาเบื้องต้น ส่วนสินไหมยังไม่ตั้งธงไว้แต่ไม่ทอดทิ้งแน่นอน ยืนยันที่ร้านเก็บเงินสร้างขึ้นเองไม่มีนายทุนใหญ่ หรืออิทธิพลหนุนหลัง ชี้แจงไม่เคยสั่งให้ล็อกประตูหลัง ให้การ์ดถือกุญแจไม่รู้ว่าวันเกิดเหตุล็อกหรือไม่ แต่มีประตูหนีไฟที่ไม่ได้ล็อกอีกประตู ด้าน “ทนายรณณรงค์” โร่ยื่นดีเอสไอให้รับเป็นคดีพิเศษ มั่นใจเจ้าหน้าที่รัฐมีเอี่ยว
หลังจากศาลจังหวัดพัทยาอนุญาตให้ประกันตัวนายพงศ์ศิริ หรือเสี่ยบี ปั้นประสงค์ อายุ 27 ปี เจ้าของผับ Mountain B (เมาน์เท่น บี) ต.พลูตาหลวง อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ที่เกิดเพลิงไหม้คร่าชีวิตนักเที่ยว 15 ศพ ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก เจ้าตัวแสดงความเสียใจกล่าวขอโทษครอบครัวผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ยืนยันจะเร่งเยียวยาทุกคนให้ดีที่สุด
ที่บริเวณลานด้านหน้าผับเมาน์เท่น บี จุดเกิดเหตุโศกนาฏกรรมสลด เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 9 ส.ค. นายพงศ์ศิริ ปั้นประสงค์ หรือเสี่ยบี นางอนงค์นาถ ปั้นประสงค์ ภรรยา พร้อมญาติพี่น้อง นำกลุ่มพนักงานของร้านร่วมพิธีทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ผู้เสียชีวิต นิมนต์พระครูกิตติเกษมโสภณ เจ้าอาวาสวัดสามัคคีบรรพต พร้อมพระภิกษุสงฆ์รวม 9 รูป ร่วมสวดเจริญพระพุทธมนต์ ประพรมน้ำมนต์ ถวายภัตตาหารเพล เครื่องไทยธรรมสังฆทาน รวมทั้งตั้งโต๊ะอัญเชิญดวงวิญญาณผู้เสียชีวิตทั้ง 15 รายมาร่วมพิธี มีนายต่อศักดิ์ ตระกูลธงชัย รองนายก เทศมนตรีเมืองสัตหีบ นำเจ้าหน้าที่เทศบาลมาร่วมพิธีด้วย
...
นายอนุชา วงศ์ศรีรัตน์ ทนายความของเสี่ยบีกล่าวว่า หลังนายพงศ์ศิริ หรือเสี่ยบี ได้รับการประกันตัวออกมา ในคืนวันเดียวกันไปร่วมงานศพและมอบเงินช่วยเหลือ 50,000 บาท ให้ญาติผู้เสียชีวิต กรณีนี้มีญาติบางส่วนพอใจ บางส่วนก็ไม่พอใจ เสี่ยบีได้หารือร่วมกันว่าจะทำอย่างไรที่จะเยียวยาให้เต็มที่ที่สุดและทั่วถึงให้มากที่สุดเพราะมีผู้ต้องได้รับการเยียวยาจำนวนมาก ถ้ายังติดใจทางร้านประสานงานให้ไปปรึกษาสภาทนายความมาร่วมเจรจาเพื่อสร้างข้อตกลงและความเข้าใจระหว่างกัน เพราะถ้าให้การช่วยเหลือรายแรกๆจนเงินที่เตรียมไว้หมดอาจจะไม่ถึงรายท้ายๆ
ก่อนหน้านี้ช่วงค่ำวันที่ 8 ส.ค. นายพงศ์ศิริ หรือเสี่ยบี พร้อมภรรยาเดินทางไปที่วัดสัตหีบ สถานที่ตั้งบำเพ็ญกุศลศพนายกรวิทย์ เม็งคำมี อายุ 17 ปี หนึ่งในผู้เสียชีวิต มอบพวงหรีดแสดงความอาลัยพร้อมเงินเยียวยา 50,000 บาท ให้กับ น.ส.รำไพ ชิงชาติ อายุ 37 ปี แม่ผู้สูญเสีย โดยเสี่ยบีและภรรยานั่งคุกเข่าพนมมือไหว้ขอขมาแม่และครอบครัวของผู้ตายพร้อมกล่าวขอโทษกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และในวันต่อไปทั้งคู่จะเดินทางไปยังวัดต่างๆในพื้นที่ อ.สัตหีบ ที่ตั้งศพเหยื่อเพลิงไหม้อีก 8 ราย เพื่อร่วมงานศพและขอขมาครอบครัวผู้เสียชีวิต หลังจากนั้นจะทยอยไปเยี่ยมผู้บาดเจ็บที่รักษาตัวตามโรงพยาบาลต่างๆและที่บ้านทุกรายต่อไป

ต่อมาเวลา 15.30 น. บริเวณหน้าผับเมาน์เท่น บี นายพงศ์ศิริ หรือเสี่ยบี พร้อมนางอนงค์นาถ ปั้นประสงค์ ภรรยา ตั้งโต๊ะแถลงเปิดใจถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและแนวทางเยียวยา ทั้งคู่พนมมือไหว้ขอโทษและเสียใจต่อทุกฝ่ายกับสิ่งที่เกิดขึ้นจากใจจริง ก่อนย้อนเหตุการณ์วันเกิดเหตุ เสี่ยบีเผยว่า ขณะพักผ่อนอยู่ในห้องทำงานได้ยินเสียงระเบิดขึ้น ภายในร้าน วิ่งไปดูเมื่อทราบว่าเป็นเพลิงไหม้ก็พยายามช่วยเหลือผู้ประสบเหตุทุกคนไม่ได้หนีหายไปไหนเลยกระทั่งเพลิงสงบ ได้เห็นภาพผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตยังติดตาจดจำไม่มีวันลืม ตอนนั้นช็อกและเสียใจมากถึงขั้นที่ชวนภรรยาไปฆ่าตัวตายด้วยกัน แต่ภายหลังคุมสติได้เข้าไปที่ สภ.พลูตาหลวง และถูกควบคุมตัวไว้ กระทั่งมีหมายจับตำรวจนำตัวส่งศาลและได้ประกันตัวออกมาพร้อมติดกำไลอีเอ็มที่ขาซ้าย เมื่อออกมาพยายามนำเงินไปช่วยงานศพและหาเงินมารับผิดชอบเยียวยาทุกคน ยืนยันว่าจะทำให้ดีที่สุด ที่ช่วยไปเป็นเพียงการช่วยเหลือเบื้องต้นเท่านั้น ส่วนจะจ่ายสินไหมให้รายละเท่าไหร่ยังไม่ตั้งธงไว้ในใจ แต่ไม่ทอดทิ้งต้องชดใช้แน่นอน
ด้านนางอนงค์นาถ ภรรยาเล่าว่า ช่วงเกิดเหตุนั่งเช็กสต๊อกอาหารในห้องด้านนอก ได้ยินเสียงระเบิดดังขึ้น เห็นเพลิงไหม้ในร้านบนหลังคา ตะโกนบอกให้ทุกคนหลบหนีและให้พนักงานช่วยกันนำลูกค้าออกมา เมื่อเห็นสภาพคนเจ็บถูกไฟไหม้พากันวิ่งออกมาตามคลิปยอมรับว่าตกใจมากจนเกือบคุมสติไม่ได้ ที่มีการกล่าวว่าประตูด้านหลังถูกล็อกนั้น ไม่ทราบว่าล็อกหรือไม่ แต่ยืนยันว่าไม่เคยสั่งให้ล็อกประตู มอบหมายให้การ์ดเป็นคนถือกุญแจไว้ปิดล็อกเฉพาะเวลาร้านปิดเท่านั้น วันเกิดเหตุล็อกหรือไม่ ไม่ทราบ เพราะการ์ดที่ถือกุญแจได้รับบาดเจ็บสาหัสยังรักษาตัวอยู่ ส่วนที่ว่าล็อกเพราะกันลูกค้าหลบออกไปคงไม่ใช่ เพราะทางร้านเก็บเงินสดอยู่แล้ว ขณะที่ประตูอีกฝั่งตรงข้ามบริเวณห้องน้ำก็มีประตูเข้าออกที่ติดไฟแจ้งไว้ว่าเป็นประตูหนีไฟไม่เคยล็อกเพราะมีการส่งของเข้ามาด้านในตลอดเวลา

นางอนงค์นาถกล่าวเพิ่มเติมทั้งน้ำตาว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสะเทือนใจมาก จนสามีบอกว่าทนรับสภาพแบบนี้ไม่ไหวและชวนกันไปฆ่าตัวตาย ยืนยันว่า ร้านก่อตั้งขึ้นไม่มีนอมินี นายทุนใหญ่ หรือผู้มีอิทธิพลหนุนหลังแน่นอน เงินที่สร้างขึ้นมาจากน้ำพักน้ำแรงที่ร่วมกันเก็บมาตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา เพิ่งเปิดร้านได้เพียง 2 เดือนเท่านั้น ที่ผ่านมาคอยดูแลตรวจเช็กมาตลอดทั้งระบบไฟ เสียง และความปลอดภัย มีการ์ด 8 คนประจำตามจุดต่างๆครบถ้วน ไม่คิดว่าจะเกิดเหตุร้ายแบบนี้ ความเสียหายที่เกิดขึ้นจะพยายามเยียวยาทุกคน ได้ปรึกษาทนายความและญาติแล้วว่าจะดำเนินการอย่างไร พยายามหาทรัพย์สินไปเยียวยาเต็มที่ จากนี้คงจะปิดผับเมาน์เท่น บี ถาวร ส่วนร้านอาหารด้านหน้าที่มีดนตรีสดและหมูกระทะคงเปิดตามเดิมเพราะสงสารพนักงานกว่า 60 ชีวิตจะได้มีงานทำต่อ
ด้านนายอนุชา วงศ์ศรีรัตน์ ทนายความกล่าวว่า ขณะนี้พยายามช่วยเหลือและเยียวยาผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บทั้งหมด ส่วนตัวเกรงว่าอาจจะไม่ทั่วถึง เพราะมีผู้เสียหายจำนวนมาก อยากวิงวอนให้ผู้ที่มีความรู้ด้านกฎหมายมาช่วยเจรจาร่วมและไกล่เกลี่ยให้เกิดความเป็นธรรม เบื้องต้นแจ้งผ่านไปทางสภาทนายความศาลจังหวัดพัทยา เพื่อให้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้เสียหาย รวบรวมและเจรจาเพื่อหาทางออกร่วมกันต่อไป

ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอ ช่วงเช้าวันเดียวกัน ทนายรณรงค์ แก้วเพชร ประธานเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม ยื่นหนังสือต่อนายไตรยฤทธิ์ เตมหิวงศ์ อธิบดีดีเอสไอ เพื่อขอให้รับเป็นคดีพิเศษ กรณีไฟไหม้ผับเมาน์เท่น บี อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี มีผู้เสียชีวิตหลายราย เนื่องจากเป็นคดีที่ร้ายแรง และคาดว่าน่าจะมีหุ้นส่วนร้านรายอื่นอีกที่ยังไม่เปิดเผยชื่อ มี พ.ต.ท.วรณัน ศรีล้ำ โฆษกดีเอสไอ เป็นตัวแทนรับหนังสือร้องเรียน
ทนายรณรงค์กล่าวว่า มายื่น 3 ประเด็น คือ 1.เชื่อว่าการเปิดสถานบันเทิงต้องมีการเรียกรับผลประโยชน์จากเจ้าหน้าที่รัฐ อาจเป็นกระทรวงมหาดไทยหรือตำรวจก็ได้ หากปล่อยตำรวจท้องที่ทำคดีกันเองอาจไม่เจอเรื่องรับผลประโยชน์ จริงๆแล้วสถานบันเทิงเปิดไม่ได้ ถ้าตำรวจท้องที่ไม่รู้เห็นเป็นใจ 2.ไม่เชื่อว่า เสี่ยบี เจ้าของผับจะบริหารเพียงคนเดียว แต่ต้องมีหุ้นลม อาจเป็นคนมีสีคอยสนับสนุนเรื่องเงินช่วยดูแล อยากให้ดีเอสไอช่วยตรวจสอบทำคดีให้มีความชัดเจน ต้องขยายผลเส้นทางการเงินหาผู้เกี่ยวข้องหรือหุ้นส่วน จะได้ออกมารับผิดชอบ ไม่ใช่แค่จบเพียงเสี่ยบีแค่คนเดียว และ 3.กลัวคดีโดนตัดตอนเหมือนซานติก้าผับ เมื่อปี 52 ที่ไม่ได้รับการช่วยเหลือเยียวยาอย่างเป็นธรรม เพราะการอ้างว่าเยียวยาผู้เสียชีวิตรายละ 5 หมื่นบาท คนเจ็บรายละ 1 หมื่นบาท แต่จากการประเมินความเสียหาย คาดว่าไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท การจ่ายแค่เศษเงินไม่ใช่เป็นความรับผิดชอบแต่อย่างใด

ด้าน พ.ต.ท.วรณันเผยว่า เจ้าหน้าที่จะตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นกับกรณีที่เกิดขึ้นก่อน จากนั้นจะนำมาพิจารณาว่าเข้าหลักเกณฑ์จะรับเป็นคดีพิเศษได้หรือไม่ ซึ่งในคำร้องที่ยื่นมาระบุว่า อาจมีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่อย่างไร