การแพร่ระบาดโควิด-19 ประเทศ ไทย เข้าสู่ระลอก 3 ยังคงลุกลามกระจายไปทั่วทุกภูมิภาค “ตัวเลขผู้ป่วย และผู้เสียชีวิตสูงขึ้นรวดเร็ว” ซึ่งอาจเกินกว่า “ระบบสาธารณสุข” รองรับไหวได้ถ้าจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆเช่นนี้

ทำให้กระทบต่อประเทศโดยรวม ในด้านเศรษฐกิจ สังคม และการดำเนินชีวิตหลายด้าน “คนไทย” ต้องเจอความลำบากอยู่กันอย่างทนทุกข์ทรมานจิตใจ เพราะปัญหาความตกใจกลัวรับเชื้อ และเครียดสารพัดปัญหาทั้งตกงาน ขาดรายได้ “การใช้ชีวิตหดหู่สิ้นหวัง” ที่ต้องการกำลังใจเร่งด่วน

แต่ด้วย “ประเทศไทยเป็นเมืองพุทธ” อันเป็นที่พึ่งทางใจอยู่คู่กับสังคมมายาวนาน ที่อาจเป็นทางเลือกหนึ่งในการนำ “หลักพระธรรมคำสอน” มาปรับตัวปรับใจ “สลายความกลัวและความเครียด” ที่เกิดขึ้นจากโรคระบาดนี้ เพื่อผ่อนคลายไม่ให้กระทบต่อ “สุขภาพจิต และสุขภาพกาย” ที่นำพาโรคอื่นตามมาก็ได้

ตามหลักพุทธธรรมอันจะช่วยชีวิตในยามวิกฤติโรคระบาดนี้ พระมหาสุเทพ สุทธิญาโณ ประธานกลุ่มอาสาคิลานธรรม บอกว่า เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปอยู่แล้ว “การระบาดโควิด–19 ระลอก 3” ค่อนข้างน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง เพราะส่งผลกระทบต่อ “การดำเนินชีวิตประกอบสัมมาอาชีพ” ของผู้คนเป็นวงกว้างมานานแล้ว

...

เสมือนว่า “คนไทยเจอโจทย์ปัญหาใหญ่สำคัญ” เพื่อแก้ไขฝ่าฟันอุปสรรคด้วยกัน เหตุนี้ “ทุกคนต่างมีบริบทหน้าที่ช่วยเหลือประเทศ” ตั้งแต่ “รัฐบาล” กำหนดนโยบายป้องกัน ฟื้นฟู เยียวยาผู้รับผลกระทบเดือดร้อน “บุคลากรทางการแพทย์” เป็นทัพหน้าการกำราบการแพร่ระบาดนี้ และดูแลรักษาผู้ป่วยให้ปลอดภัย

ในส่วน “ประชาชน” แบ่งเป็น 3 มิติ คือ มิติด้านกายภาพ...ต้องเจอความขัดข้องไม่สะดวกจาก “ข้อจำกัดเสรีภาพ” ดังนั้นควรปรับความสมดุลในการใช้ชีวิตให้ระมัดระวังเหตุให้เกิดโรคระบาดนี้ เช่น “งดออกเที่ยวสถานที่สุ่มเสี่ยงติดต่อโรค” มิเช่นนั้นอาจเป็นเหตุให้ “เชื้อแพร่ระบาด” มากกว่าเดิมก็ได้

โดยเฉพาะ “คำแนะนำสาธารณสุข” ถ้าร่วมใจกันปฏิบัติตามหลักมาตรการป้องกัน ใส่หน้ากาก เว้นระยะห่าง หมั่นล้างมือ และอดทนอดกลั้นยอมสูญเสียอิสรภาพชั่วครู่ “รักษาชีวิต และร่างกายไม่ให้เจ็บป่วยไว้” เพื่อรอคอยเวลาฟ้าหลังฝนกลับคืนมามีชีวิตใหม่เป็นปกติดังเดิมเร็ววันนี้

อีกทั้งจำเป็นต้องมี “มาตรการประหยัดอดออม” เพราะถ้าเมื่อ “ฝนหยุดตกฟ้าเปิดใหม่” จะทำให้สามารถเก็บกวาดฟื้นฟูชีวิต และกิจการงานอาชีพได้สะดวกไม่ติดขัดด้วย

ต่อมา...“มิติด้านจิตใจ” สภาวะโรคระบาดหนักเช่นนี้ย่อมส่งผลให้เป็นแรงกดดันเกิดความเครียด กังวล และระแวงกลัวรับเชื้อ ทำให้บางคนต้องเผชิญกับ “ความรู้สึกหดหู่ ท้อแท้ สิ้นหวัง เศร้าสร้อยใจ” ที่ต้องการคนดูแลให้กำลังใจที่มีความสำคัญแก่คนกำลังเจอวิกฤติโรคระบาดครั้งนี้

ซึ่งสามารถสร้างได้โดยเริ่มจาก “ตัวเองเป็นอันดับแรก” ในการหาทางออกให้ชีวิตด้วย “สติปัญญา” ที่จะเสริมสร้างแรงใจให้ความเชื่อมั่น อดทน ไม่ท้อแท้ สิ้นหวัง และพร้อมเผชิญหน้าฟันฝ่าอุปสรรคกิเลส กำลังกัดกินใจนี้ที่มีทั้งความตระหนกตกใจ ความกลัว หวาดระแวง เพื่อก้าวผ่านความลำบากสู่อนาคตต่อไป

ทว่าตรงกันข้าม “คนในครอบครัวระบายโทสะใส่คนอื่น” สิ่งนี้จะกลายเป็นพลังความเครียดส่งต่อเป็นแรงกดดันผู้อื่นให้เผชิญความเครียดสะสมตามด้วย เหตุนี้ย่อมทำให้ “สติปัญญาไม่เกิด” ไม่อาจก้าวผ่านความลำบากได้ ตอกย้ำให้เป็น “ทุกข์ไม่มีกำลังใจ” สุดท้ายอาจต้องพังทลายไปด้วยกันทั้งครอบครัวก็ได้

เช่นนี้แล้วแม้ว่า “คนในครอบครัวต้องเผชิญความทุกข์มากเพียงใด” ต้องอดทนคิดบวกแล้ว “ยิ้มสู้ให้กำลังใจกัน” เพื่อสร้างความอบอุ่นอันจะส่งเสริมความเชื่อมั่นก่อให้เกิด “เจริญทางสติปัญญา” กลายเป็นตัวกระตุ้นให้พร้อมเดินหน้าสู้กับปัญหาอุปสรรคโรคระบาดนี้ไปด้วยกัน

ตัวอย่างชัดๆ...มีบุคคล 3 คน เดินผ่านป่าช้าขณะที่หมาหอน ถ้า ทุกคนกลัวกันหมดอาจวิ่งหนีกระเจิงแน่ แต่หาก 1 คน มีใจหนักแน่นไม่หวั่นไหวย่อมทำให้อีก 2 คนนิ่งฝ่าฟันจุดนั้นไปด้วยกันได้

ถัดมา...“มิติด้านสังคม หรือสิ่งแวดล้อม” มักมีอิทธิพลต่อตัวเองและผู้อื่นเสมอ เช่น เมื่อต้องออกจากบ้านเจอผู้คนมากมาย “ไม่ยอมใส่หน้ากากป้องกันย่อมทำให้รู้สึกไม่อยากใส่ด้วยเหมือนกัน” แต่ถ้าหากคนอื่นใส่หน้ากากพร้อมเพรียงกันแล้วสิ่งนี้จะเป็นแรงกระตุ้นให้ตัวเราต้องใส่เช่นกัน

สภาวะเช่นนี้ “ญาติโยมต้องเป็นสิ่งแวดล้อมที่ดีต่อสังคม” อันเป็นเหตุปัจจัยกระตุ้นให้ผู้ไม่สนใจทำหน้าที่รับผิดชอบต่อสังคม รู้สึกผิดที่ต้องปรับปรุงตัวปฏิบัติตามกฎระเบียบของสังคมตกลงกันไว้ โดยเฉพาะ “รอยยิ้มเป็นยาวิเศษ” มีอิทธิพลต่อสิ่งแวดล้อมรอบข้างเป็นตัวสร้างกำลังใจให้ผู้อื่นได้เสมอในยามวิกฤตินี้

เช่นเดียวกับ “คำพูดขาดสติ” ก็มีอิทธิพลทำลายผู้อื่นเช่นกัน ดังนั้น “เราต้องเป็นสิ่งแวดล้อม” เป็นพลังส่งเสริมให้สถานการณ์ดีขึ้นมากกว่าทำให้แย่ลง ด้วยรักษาระเบียบวินัยที่ดีต่อสังคมเท่านี้ก็พอแล้ว

อีกประการ...“ความคิด” สิ่งนี้นับเป็นหน่วยสำคัญมากในวิกฤติโรคระบาด เพราะการแก้ไขปัญหาและหาทางออกอุปสรรคสำเร็จได้นั้น มักต้องมาจาก “หน่วยความคิด” ทั้งสิ้น แม้แต่ “อารมณ์หงุดหงิดฉุนเฉียวโดยไม่มีเหตุผล” ก็มีจุดเริ่มต้นจากความคิดที่ไม่อาจบริหารจัดการหาทางออกได้ด้วยซ้ำ

“แต่ถ้า ญาติโยม สามารถบริหารจัดการรู้เท่าทันหน่วยความคิดตัวเองด้วย การมองโลกแง่บวก เลือกคิดในเชิงสร้างสรรค์ ย่อมทำให้มีกำลังใจ และไม่เกิดเป็นความทุกข์ได้ สิ่งนี้จะเป็นผลดีต่อการใช้ชีวิต ยามวิกฤติโรคระบาดนี้ เสมือนยาวัคซีนพิเศษสร้างภูมิคุ้มกันให้เป็นเกราะป้องกันภัยได้ด้วยซ้ำ” พระมหาสุเทพ ว่า

แม้แต่...“ผู้ป่วยติดเชื้อโควิด–19” จากความตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจก็แล้วแต่ก็ต้อง “มองโลกเชิงบวกเท่าทันความคิดตัวเอง” เพื่อส่งผลให้ “เกิดกุศล” เป็นสติสัมปชัญญะอันเป็นเหตุให้สามารถประคับประคองชีวิตไปได้ แต่ในยามใดรู้ไม่เท่าทันนั้นมัก “เกิดอกุศล” นำมาซึ่งความคิดเชิงลบที่มักไม่มีทางออก ปัญหาก็ยิ่งเพิ่มพูน

ตอกย้ำผลกระทบต่อ “สภาพจิตใจหดหู่” ทำให้ร่างกายตอบสนองต่อสู้เชื้อร้ายแย่ลงด้วย

จริงๆแล้วในสมัย...“ยุคพุทธกาล” ก็เคยมีบันทึกเกี่ยวกับ “สภาวะโรคระบาด” มีผู้คนเสียชีวิตจำนวนมากเช่นกัน ดังนั้น “พระพุทธเจ้า” ได้รับอาราธนาไปโปรยเมืองเวสาลีด้วย “สวดรัตนสูตร” กล่าวคำสรรเสริญรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ทั้งยังประพรมน้ำพระพุทธมนต์อันเป็นมงคลแก่ผู้มีทุกข์ครั้งนั้น

เหตุนี้ชวนวิเคราะห์ดูว่า “นัยการสวดมนต์ และประพรมน้ำพระพุทธมนต์” เสมือนเป็นการสร้างกำลังใจเป็นสำคัญ เพราะยามใด “ผู้คน” ขาดกำลังใจย่อมไม่ประสบความสำเร็จอยู่เสมอ ฉันใดก็ฉันนั้น “คนมีกำลังใจปรากฏ” สิ่งที่กำลังจะสูญเสียไปแล้วนั้นก็อาจหายกลายเป็นดีได้ด้วยเช่นกัน

ยามนี้ “พระสงฆ์สวดมนต์ หรือประพรมน้ำพระพุทธมนต์” มักมีผลเป็นกำลังใจต่อ “ผู้ป่วย หรือประชาชน” ได้อยู่เสมอ ฉะนั้น “พระสงฆ์” ต้องเป็นผู้มีสติสัมปชัญญะปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ มีความตั้งอกตั้งใจประกอบพิธีฯ เพื่อถ่ายทอดเชื่อมโยง “ผู้อ่อนแอ” ให้มีที่พึ่งก่อเกิดความเข้มแข็งนำมาซึ่งสติสัมปชัญญะตามมา

สภาวะเช่นนี้ “พระภิกษุสงฆ์” ต้องใช้คติอันแน่วแน่ “สวดมนต์เจริญพระพุทธมนต์” สร้างขวัญกำลังใจให้ผู้คนได้มีแรงต่อสู้ฟันฝ่ากับอุปสรรคต่างๆนานา ดังนั้น “พระพุทธศาสนา” มักมุ่งเน้น “ความมั่นคงของใจ” เป็นหลัก “ไม่ตระหนกแต่ตระหนัก” ด้วยการตื่นรู้อยู่เสมอที่จะเป็นเครื่องเยียวยาจิตใจในกาลครั้งนี้

สุดท้าย...ขอเป็นกำลังใจให้ญาติโยม ในการป้องกันตัวเอง และคนในครอบครัว “ใช้ชีวิตอย่างมีสติ” ไม่นาน “โรคระบาด” น่าจะเบาบางด้วย “วัคซีน” ที่กำลังเข้ามาในช่วงนี้จำเป็นต้องประคับประคองชีวิตกันก่อน

ย้ำว่าความสมัครสมานสามัคคี และการให้กำลังใจกันเท่านั้น ที่จะนำพาเราผ่านวิกฤติโควิด–19 อันเลวร้ายนี้ให้รอดปลอดภัยไปด้วยกันได้ เจริญพร...