เงื่อนปมตัวเลข “คนฆ่าตัวตายรายวัน” ในช่วงการระบาดโควิด-19 พุ่งสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ แสดงถึง “คนกำลังประสบปัญหา” สะท้อนความเดือดร้อน ที่มีความทุกข์ความอึดอัดใจ ในสภาวะประกาศใช้ “พ.ร.ก.ฉุกเฉิน” หรือ “เคอร์ฟิว” ทำให้ทำมาหากินลำบาก และไม่มีทางออกเรื่องปากท้อง...

ในสถานการณ์ต้องเผชิญแรงกดดัน จนเกิดความเครียดสะสม มักมีความคิดสั้นทำร้ายตัวเอง เพราะขาดการไตร่ตรอง ขาดความยั้งคิด อาจแก้ปัญหาแบบ “มุทะลุ หุนหันพลันแล่น” จนเกิดความผิดพลาดฆ่าตัวตายขึ้น

ทำให้มีเหตุการฆ่าตัวตายของประชาชนเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง สร้างความสะเทือนใจให้แก่สังคมอย่างมาก และถูกกล่าวอ้างมูลเหตุมาจากผลกระทบมาตรการของภาครัฐที่ประกาศบังคับใช้ช่วงนี้

เรื่องนี้ “องค์กรหลายฝ่าย” ต่างออกมาส่งสัญญาณกระตุ้นเตือน “รัฐบาล” อย่ามองประเด็นการฆ่าตัวตายเป็นสภาวะปกติ เพื่อให้รัฐบาลดำเนินการ ช่วยเหลือผู้เดือดร้อนได้อย่างถ้วนหน้า และเปิดพื้นที่แบบควบคุมให้คนทำมาหากิน ในการเลิกใช้กฎหมายที่ไม่จำเป็น ลดผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน

แต่ทว่าปัญหาการฆ่าตัวตาย...มีความสลับซับซ้อน ที่เกิดจากหลายปัจจัยซ้อนทับกันอยู่ อาจจะอ้างได้ไม่เต็มปากว่า...เป็นผลมาจากเรื่องของ “ปมวิกฤติเศรษฐกิจ” หรือ “ปมรัฐบาลบริหารล้มเหลว” เพราะอาจมีทั้งปัญหาส่วนตัว หนี้สิน ตกงาน ปัญหาสุขภาพ โรคซึมเศร้า และปัญหาครอบครัว ร่วมผสมโรง อยู่ด้วยก็ได้...

...

สำหรับในทางพระพุทธศาสนา...ทุกคนต้องเผชิญหน้า “ความทุกข์” ความไม่สบายกายสบายใจ ที่ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ เมื่อหาทางออกไม่ได้ จึงพยายามวิ่งหนีทุกข์ สุดท้ายมาจบลงที่การฆ่าตัวตาย เพื่อยุติปัญหานั้น

แต่การฆ่าตัวตายไม่ใช่หนทางดับทุกข์ กลับเป็นการก่อทุกข์ขึ้นอีกมากมายต่อบุคคลในครอบครัว แม้ว่าตัวเองจะเสียชีวิตไปแล้วก็ยังเกิดทุกข์อยู่เช่นเดิม พระราชธรรมนิเทศ หรือ พระพยอม กัลยาโณ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว แสดงหลักธรรมทางศาสนาพุทธไว้ว่า...

การระบาดเชื้อโควิด-19 ทำให้คนตกงาน ไม่มีหนทางออกนำไปสู่การสิ้นคิดตัดสินใจคิดสั้นฆ่าตัวตาย นับว่าเป็นทางเลือกของ “คนไม่สู้ชีวิต” มีความใจเสาะ เปราะบาง อ่อนแอ หนีปัญหาด้วยการ “ฆ่าตัวตาย” แต่การกระทำนี้กลับไม่มีสิ่งใดที่น่าภาคภูมิใจแก่ชีวิตที่เกิดมาเลย

คนน่าภูมิใจคือ ต้องยอมทนสู้กับปัญหานั้น และกล้าเผชิญความเป็นจริง จะทำให้สามารถหลุดพ้น จนเจอกับแสงสว่างนำทางไปสู่ความสำเร็จแห่งวิถีชีวิตของโลกใบใหม่ที่มีความสุขกว่า

สำหรับคนหนีปัญหาด้วยการ “คนฆ่าตัวตาย”...ที่ไม่มีสติปัญญาแก้ปัญหา “สู้ชีวิต” หากเปรียบกับสัตว์ เช่น สุนัข แมว ไก่ ต่างสู้ชีวิตสามารถ ดำเนินให้ตัวเองอยู่รอดได้ แต่นี่เกิดมาเป็น “มนุษย์” กลับไม่มีหนทาง “สู้ชีวิต” ซึ่งเป็นการเสียชีวิตจาก “จิตเป็นทุกข์” ก็จะไม่มีความสุขเช่นเดิม ถ้าเกิดใหม่ ก็ต้องเกิดเป็น “หมาบ้า 500 ชาติ”

เว้นบางกรณี...“อดข้าวฆ่าตัวตาย” มีเหตุผลหากอยู่ก็กลัวเป็นภาระ เดือดร้อนให้กับลูกหลาน ที่มีความแตกต่างจากลักษณะการฆ่าตัวตายแบบทั่วไป เช่น “น้าอาตมา” ทำการ “อดข้าว” ดื่มแต่น้ำราว 7-8 วัน ก็เสียชีวิตลง

ดั่งคำว่า “ทุกขเวทนา”...ความรู้สึกไม่สบายกายไม่สบายใจ ความรู้สึกเจ็บปวดทรมาน ความรู้สึกลำบากถ้าอยู่ไปก็เป็นภาระลูกหลาน เพราะไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองอะไรได้แล้วเป็นเช่นนี้...ก็อาจเป็นการอนุโลมได้...แต่การ “ฆ่าตัวตายหนีปัญหา” เมื่อตายไปแล้วก็ยังเป็นภาระของคนที่มีชีวิตอยู่อีกเช่นเดิม

จริงๆแล้ว...“กลุ่มคนคิดสั้น” ส่วนใหญ่ยังไม่คิดหาทางออกของปัญหามากกว่า ทำให้แก้ด้วยวิธีแบบผิดๆ ยกตัวอย่าง...“พ่อลูกโดดน้ำ จ.พระนครศรีอยุธยา” ก่อนก่อเหตุอาศัยวัดบริเวณนั้นเป็นสถานที่หลับนอนอยู่ หากมาอยู่ “วัดสวนแก้ว” เชื่อว่า...ไม่มีทางคิดสั้นเช่นนั้น เพราะที่นี่มีคนคอยช่วยเหลือให้คำปรึกษามากมาย

ตั้งแต่มีการระบาดไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบคนทำงานรายวันตกงานกันหลายคนต่างเครียดจนต้องฆ่าตัวตาย ทำให้รู้สึก “เสียดาย” ถ้ามาที่วัดสวนแก้ว รับรองว่า “ไม่ตายแน่นอน” เพราะมีที่นอน ข้าวกินฟรีทุกมื้อ แถมมีงานให้ทำมากมาย สร้างรายได้วันละ 200 บาท ทุกวันนี้ก็ยังมีคนเข้ามาขอความช่วยเหลือจำนวนมาก

มีการฝึกอาชีพให้คนงานหลายประเภท ทั้งอุตสาหกรรม การเกษตร ในการดูแลสวนผัก ผลไม้ และมีการขยายพันธุ์ต้นไม้ ทำปุ๋ยหมัก ส่วนผลผลิตที่ได้นั้นจะนำออกขายในตลาดผลไม้ภายในวัดแห่งนี้ เพื่อให้คนมีรายได้เลี้ยงตนเองต่อไป ขอยกตัวอย่าง...“ครอบครัวหนึ่ง” ตกงาน ไม่มีรายได้ แม้แต่เงินกินข้าว และค่าเช่าห้อง

และนึกได้ว่า...“วัดสวนแก้ว” มีสถานที่รองรับอุปการะ “คนสิ้นไร้ ไม้ตอก” ก็มาขอความช่วยเหลืออาศัยอยู่ที่วัด...อีกคนถูกโกงเงิน 15 ล้านบาท จนหมดเนื้อหมดตัว เดินทางมาวัด...พร้อม “ยาฆ่าตัวตาย” ปรากฏว่า “อาตมา” เข้าห้ามปรามพูดคุยฟังเทศนาธรรม “การสู้ชีวิต” จนเปลี่ยนใจ และขออาศัย อยู่วัดแห่งนี้เช่นกันจนถึงวันนี้...

ปัจจุบันมีคนตกงานอุปการะราว 1,000 กว่าคน และยังรองรับได้อีก ประมาณ 400-500 คน เพราะวัดสวนแก้วมีสาขา 11 แห่งทั่วประเทศ สามารถ รองรับได้สูงสุด 3,000 คน โดยมี “กองทุนชุบชีวิตยามตกอับ” เพื่อช่วยเหลือผู้ยากไร้และตกทุกข์ แต่การมาอาศัยอยู่ที่นี่ต้องช่วยดูแลตัวเองได้ ส่วนประเภทนอนติดเตียงไม่ขอรับ

ตอนนี้ผู้ใจบุญทราบข่าว...ต่างนำข้าวของ อาหาร มาแจกทุกวัน ในยามวิกฤตินี้ “คนไทยไม่เคยทิ้งกัน” ซึ่งไม่เคยมีประเทศใดในโลก...ช่วยเหลือกันดี เท่ากับประเทศไทยอีกแล้ว ส่วนคนมอบให้ถือว่าเป็นการ “บำเพ็ญบารมี” หรือ “ฐานะบารมี” ที่มีความสูงแกร่งกล้า มีบุญอันสูงสุด เมื่อตายก็มีความสุข เพราะมีใจอันบริสุทธิ์อยู่ตลอด

ประเด็น...“วิกฤติโควิด-19 นี้” หากพิจารณาไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว ปรากฏว่า มีปัญหาเกิดขึ้น 2 ส่วน คือ ส่วนที่หนึ่ง...“ปัญหานอก” ที่เกี่ยวกับ การเผชิญกับโรคภัยไข้เจ็บ ภัยธรรมชาติ ที่ควรต้องแก้ให้เป็นไปตามขั้นตอน ตามหลักเหตุผลและปัจจัยที่เกิดขึ้นนั้น

ส่วนที่สอง...“ปัญหาใน” หมายถึง ความเดือดร้อนภายในจิตใจ คิดวิตกกังวล จนนำไปสู่การคิดสั้นฆ่าตัวตาย สำหรับ “ปัญหาใน” สามารถแก้ได้ง่ายกว่า “ปัญหานอก” มีข้อสำคัญต้องรีบแก้ปัญหาใน ด้วยการทำจิตใจให้ปกติก่อน โดยนำหลักธรรมของ “พระธรรมโกศาจารย์” หรือ “พุทธทาสภิกขุ” เคยสอนเป็น “มนตราธารณี” ว่า...

“กูไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นทุกข์โว้ย” เป็นคาถาตวาดความทุกข์ จะช่วย ให้ได้สติ และบรรเทาความทุกข์ใจไปได้ไม่มากก็น้อย คนมีทุกข์ จิตจะจมดิ่ง จนลืมตัว ไม่ได้ตระหนักว่า เราเกิดมาเพื่ออะไร สำหรับชาวพุทธ จุดหมายของชีวิต คือการพ้นทุกข์ หรือไม่ถูกครอบงำด้วยความทุกข์

บางครั้งพอมีเหตุร้ายมากระทบ ก็ทำให้ลืมว่า เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร คาถานี้จะช่วยเตือนใจให้เรากลับมาตั้งหลักได้ เพื่อช่วยสร้างกำลังใจแก่ตัวเอง ให้รู้สึกมีกำลังใจฮึกเหิม หัวใจพองโต จะทำให้จิตใจปลอดโปร่งโล่งใจสบายลง เพราะความทุกข์ที่เกิดขึ้นนี้มีให้เราเรียนรู้ ไม่ใช่มีไว้ให้เราต้องจมปลักแบบไม่มีเหตุผล...

ตาม “ทฤษฎี” มีอยู่ว่า...“ชีวิต” กับ “ทุกข์ กิเลส” เราควรผลักอะไรออกไป ซึ่งคนเรากลับ “ผลักชีวิต” ด้วยการฆ่าตัวตาย แต่ “ทุกข์ กิเลส” กลับไม่ได้ออกไปด้วย ทำให้ติดตัวไปภาคภพหน้าต่ออีก ที่เรียกว่า “ใจจ้อยด้อยคุณ” น้อยใจก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่ หาก “ผลักทุกข์ กิเลส” ออกก็จะไม่มีตัวตนจะไม่ยึดมั่นกับวัตถุใดๆ

ประการต่อมา...ถ้าจิตใจโล่งปลอดโปร่ง จะสามารถมองเห็นทางออกปัญหานั้นได้เอง เพราะเข้าใจความเป็นจริงของโลกใบนี้ที่มีหลายด้าน ทั้งสุขสมหวัง...ผิดหวัง มีแพ้ ก็มีชนะ ปัญหานี้มักวนเวียนอยู่โลกมนุษย์เสมอ

หากยอมรับความจริงได้...ก็จะสามารถตั้งรับให้เกิดเป็นสุข...สนุกกับปัญหาที่เกิดขึ้นได้ สุดท้ายก็แก้ “ปัญหาภายใน” สำเร็จ และเห็นทางออกของ “ปัญหานอก” ได้ตามมา ด้วยการเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาสที่ดี เช่น บรรดาแอร์โฮสเตส กลายเป็น “คนว่างงาน หรือตกงาน” ในบางคนต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่ หันมาประกอบอาชีพมาขายของแทน

ซึ่งช่วงแรกๆ...ต่างก็รู้สึกเขินอาย...ท้ายสุดก็นิ่งเฉย เพราะสามารถสร้างรายได้ใหม่ เพื่อผ่านวิกฤติช่วงเวลานั้นไปได้ ฉะนั้นอย่าไป “ทุกข์ระทมตรมใจ” แม้ขอรับเงินเยียวยา 5,000 บาท และไม่ได้รับเงินนั้น ก็อย่าเสียใจ จนนำไปสู่การคิดสั้นฆ่าตัวตาย เพราะนอกจากไม่ได้เงิน 5,000 บาทแล้ว...ยังจะไม่มีโอกาสอยู่มองดูโลกใบนี้ต่อไปอีก

ดั่งคำโบราณว่า...“หนักเอาเบาสู้” รับรอง...ไม่มีจน และไม่อดตายแน่นอน นะโยม เจริญพร...