พุทธศักราช 2560นับเป็นปีที่คณะสงฆ์ไทยถูกตั้งคำถามจากสังคมเป็นอย่างมาก ถึงวัตรปฏิบัติ และความเหมาะสมในการดำรงสมณเพศเพราะนับตั้งแต่เดือน ม.ค.-ธ.ค.2560 มีข่าวพระสงฆ์ที่ประพฤติตัวไม่เหมาะสม ถูกนำเสนอผ่านสื่อมวลชนอย่างต่อเนื่อง ทั้งทางทีวี หนังสือพิมพ์ และโดยเฉพาะสื่อออนไลน์ หรือทางสังคมโซเชียลไม่ว่าจะเป็น พระซื้อขายบริการทางเพศ พระตุ๊ด เณรแต๋ว พระเสพยาเสพติด พระมั่วสีกา พระโชว์อนาจารผ่านสื่อสังคมออนไลน์ พระปลุกเสกเครื่องรางของขลังในเชิงพุทธพาณิชย์หรือแม้แต่กระทั่งคดีเงินทอนวัด ก็พบว่ามีทั้งพระสงฆ์ระดับชั้น “พระครู” และระดับ “เจ้าคุณ” เข้าไปมีชื่อเกี่ยวข้องด้วยแม้ว่าพระสงฆ์ที่มีพฤติกรรมดังกล่าว จะมีเพียงจำนวนหลักร้อยรูป ซึ่งถือว่าเป็นเพียงส่วนน้อยเมื่อเทียบกับพระสงฆ์ที่มีอยู่ทั่วประเทศจำนวนกว่า 300,000 รูปแต่การที่มีข่าวของพระสงฆ์ที่ประพฤติไม่ดีเกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี ย่อมกระทบต่อความรู้สึกของพุทธศาสนิกชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แน่นอนสิ่งที่ตามมาอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงก็คือ “ความเสื่อมศรัทธา” ในตัวของพระสงฆ์ จนเรียกได้ว่าในปัจจุบันอาจจะอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับคำว่า “วิกฤติ” แล้วซึ่งความเสื่อมศรัทธาที่เกิดขึ้นมานั้น คงยากที่จะปฏิเสธว่า ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เกิดจากพฤติกรรมของพระสงฆ์เองและก่อนที่วิกฤติในครั้งนี้จะสายจนเกินแก้ เจ้าคณะใหญ่ในแต่ละหน รวมทั้งเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต จึงพร้อมใจกัน ออกคำสั่งในการคุมเข้มพฤติกรรมของพระภิกษุสามเณรในปกครองทั่วประเทศ อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในหน้าประวัติศาสตร์ของคณะสงฆ์ไทย ที่พระเถระระดับเจ้าคณะใหญ่จะออกคำสั่งในลักษณะเดียวกัน ในเวลาใกล้เคียงกันเช่นนี้วันที่ 28 ก.ย. สมเด็จพระพุฒาจารย์ (สนิท ชวนปญฺโญ) เจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก ลงนามในคำสั่งเจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก และสมเด็จพระวันรัต (จุนท์ พฺรหฺมคุตฺโต) ปฏิบัติหน้าที่แทนเจ้าคณะใหญ่ คณะธรรมยุต ลงนามในคำสั่งเจ้าคณะใหญ่ คณะธรรมยุตถัดมาใน วันที่ 30 ก.ย. สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (สมศักดิ์ อุปสโม) เจ้าคณะใหญ่หนกลาง ลงนามในคำสั่งเจ้าคณะใหญ่หนกลาง จากนั้นใน วันที่ 1 ต.ค. พระวิสุทธิวงศาจารย์ (วิเชียร อโนมคุโณ) เจ้าคณะใหญ่หนเหนือ ลงนามในคำสั่งเจ้าคณะใหญ่หนเหนือ และ พระพรหมจริยาจารย์ (สงัด ปญฺญาวุโธ) เจ้าคณะใหญ่หนใต้ ลงนามในคำสั่งเจ้าคณะใหญ่หนใต้โดยรายละเอียดในคำสั่งเจ้าคณะใหญ่แต่ละหน และเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต มีใจความสำคัญคล้ายกัน คือ ห้ามพระภิกษุสามเณรกระทำการละเมิดกฎหมายบ้านเมือง และ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ห้ามวิพากษ์วิจารณ์กระทบกระเทือนต่อความมั่นคงของสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และความสงบสุขของประชาชนให้พระสังฆาธิการกวดขันไม่ให้ พระภิกษุสามเณรมีความประพฤติเสียหาย เป็นที่ติเตียนของประชาชน และให้พระสังฆาธิการกวดขัน ควบคุม ดูแล พระภิกษุสามเณรไม่ให้ละเมิดพระธรรมวินัย แต่ในส่วนของคำสั่งเจ้าคณะใหญ่หนกลาง และคำสั่งของเจ้าคณะใหญ่หนเหนือ จะมีเพิ่มเติมคือ ระบุว่า การจัดทำป้ายโฆษณาติดประกาศในที่ต่างๆ เกี่ยวกับพิธี การปลุกเสกวัตถุมงคล เครื่องรางของขลัง โดยบรรดาเกจิอาจารย์ หรือป้ายโฆษณาอวดอ้างชวนเชื่อสรรพคุณเกจิอาจารย์ อันเป็นการมอมเมาประชาชน มิใช่วิถีพุทธมิใช่วิถีสมณะ ส่อเจตนาไปในทางอเนสนา (การหาเลี้ยงชีพในทางที่ไม่สมควรแก่ภิกษุ) สุ่มเสี่ยงต่อการต้องอาบัติอันติมวัตถุ (อาบัติปาราชิก ซึ่งทำให้ภิกษุและภิกษุณีผู้ต้องมีโทษถึงที่สุดคือ ขาดจากภาวะของตน)ให้ระงับการจัดทำนั้น และในส่วนของอุโบสถ เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธปฏิมา เป็นสถานที่ทำสังฆกรรม ทำวัตร ไหว้พระ สวดมนต์ เจริญจิตตภาวนา หรือทำบุญการกุศลต่างๆ ต้องไม่จัดทำเป็นที่จำหน่ายวัตถุมงคลเครื่อง รางของขลังภายในอุโบสถหลังจากคำสั่งของเจ้าคณะใหญ่หนต่างๆ และเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต ออกมาแค่ระยะเวลาไม่ถึง 2 เดือน ในการประชุมมหาเถรสมาคม (มส.) วันที่ 20 พ.ย. สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (อัมพร อัมพโร) ทรงได้ปรารภในที่ประชุมว่า“สมควรที่มหาเถรสมาคมกำหนดวิธี ดำเนินการให้พระภิกษุสามเณร ประพฤติปฏิบัติตนให้มั่นคงในพระธรรมวินัย สมฐานะผู้สืบทอดพระพุทธศาสนา ให้คณะสงฆ์เป็นที่นับถือต่อสังคมไทย”ยิ่งเท่ากับเป็นการตอกย้ำ และกำชับ ให้มหาเถรสมาคมดำเนินการอย่างเข้มงวดในการควบคุมพฤติกรรมของพระภิกษุสามเณรอย่างชัดเจนอีกครั้ง ทั้งยังนำมาซึ่งแนวทางในการหาทางควบคุมพฤติกรรมของกลุ่มพระบวชใหม่อีกกลุ่มหนึ่งด้วย โดยมหาเถรสมาคมมีมติแต่งตั้งกรรมการมหาเถรสมาคม 4 รูป คือ พระพรหมบัณฑิต พระพรหมมุนี พระพรหมดิลก พระพรหมโมลี ไปดำเนินการร่างหลักสูตรสำหรับพระบวชใหม่ เพื่อกำหนดระยะเวลาขั้นต่ำว่าจะต้องบวชกี่วัน รวมถึงหลักสูตรที่จะต้องให้พระใหม่ได้ศึกษาระหว่างการบวชด้วยเรียกได้ว่าการขยับตัวคณะสงฆ์ไทยในการคุมเข้มพฤติกรรมพระภิกษุสามเณรในครั้งนี้ ยังจะรวมไปถึงผู้ที่ต้องการจะเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนาในระยะเวลาอันสั้น เช่น 7 วัน 15 วันด้วยเพราะมหาเถรสมาคมมองว่า ในเมื่อเข้ามาเป็นพระภิกษุสามเณรในพระพุทธศาสนาแล้ว ก็ต้องถูกคุมเข้มให้อยู่ในวัตรปฏิบัติที่เหมาะสมเช่นเดียวกันทั้งหมดพระพรหมเมธี (จำนงค์ ธมฺมจารี) โฆษกมหาเถรสมาคม กล่าวย้ำถึงการปฏิบัติการของคณะสงฆ์ในครั้งนี้ว่า เมื่อคำสั่งของเจ้าคณะใหญ่แต่ละหน รวมทั้งเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต ได้มีการสั่งการลงไปแล้ว พระสังฆาธิการในแต่ละจังหวัดตั้งแต่ระดับเจ้าอาวาส เจ้าคณะตำบล เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะจังหวัด และเจ้าคณะภาค จะต้องลงนามรับคำสั่งไปปฏิบัติ เพื่อรับทราบคำสั่งดังกล่าว และจะต้องนำไปปฏิบัติตามด้วย เพื่อให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อยในคณะสงฆ์ และเพื่อให้วัดเป็นที่พึ่งของประชาชนอย่างแท้จริง ไม่ใช่มุ่งแต่สร้างวัตถุมงคลจนเกินหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนาแต่ดูเหมือนว่าการจัดระเบียบคณะสงฆ์ในครั้งนี้ ไม่ใช่จะมีแต่คณะสงฆ์เท่านั้นที่เป็นฝ่ายดำเนินการเสียแล้วเพราะช่วงต้นเดือน ธ.ค.2560 พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) ได้ออกมายอมรับว่า ก่อนหน้านี้ได้มีคำสั่งผ่านทางกองบังคับการปราบปรามให้ดำเนินการสอบสวน สืบสวน เอาผิดพระกระทำผิดวินัยสงฆ์ 95 รูป จากทั่วประเทศ โดยแบ่งเป็น 4 กลุ่ม คือ 1.พระตุ๊ด เณรแต๋ว 25 ราย 2.อวดอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ หรือใบ้หวย 24 ราย 3.มั่วสีกา ลวนลามหญิง เสพเมถุน 35 ราย 4.พระที่ยุ่งการ เมือง โดยใช้สื่อออนไลน์ปลุกระดม ก่อให้เกิดความรุนแรงทางการเมือง 11 ราย โดยมีที่ถูกจับสึกและดำเนินคดีแล้ว 10 รายการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปรามในครั้งนี้ยังไม่มีคำตอบแน่ชัดว่าเพราะเหตุใด แต่ที่แน่ๆยืนยันได้ว่า ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการขึ้นบัญชีพระสงฆ์ไว้แล้วจำนวนหนึ่ง เพื่อจับตาดูเป็นกรณีพิเศษ ซึ่งบางกระแสข่าวระบุว่ามีจำนวนมากเกือบถึง 200 รูปเลยทีเดียวและที่น่าตกใจไปมากกว่านั้นคือ ในบัญชีดังกล่าวมีรายชื่อพระเถระชั้นผู้ใหญ่ระดับ “รองสมเด็จพระราชาคณะ” รวมอยู่ในรายชื่อที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังจับตาดูพฤติกรรมอยู่ด้วยปฏิบัติการในครั้งนี้ของทางคณะสงฆ์และเจ้าหน้าที่ตำรวจ “ทีมข่าวศาสนา” มองว่า เป็นสิ่งที่พุทธศาสนิกชนต้องติดตามดูอย่างใกล้ชิด ชนิดห้ามกะพริบตากันเลยทีเดียว เพราะตลอดปี 2560 มีข่าวฉาวในวงการพระสงฆ์เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องแทบทุกเดือน อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนพระปรารภของสมเด็จพระสังฆราช และคำสั่งของเจ้าคณะใหญ่หนต่างๆ รวมทั้งเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต คือสัญญาณที่บ่งบอกแล้วว่า พระผู้ใหญ่ “เอาจริง” กับเรื่องนี้และนั่นเท่ากับเป็นการส่งสัญญาณว่าในปี 2561 คณะสงฆ์ต้องมีมาตรการเพื่อมาคุมเข้มพฤติกรรมพระ เณร ให้อยู่ในระบบ ระเบียบ ที่ถูกต้องเหมาะสม เพิ่มเติมมากขึ้นแน่นอนขณะที่อีกส่วนซึ่งคงมองข้ามไปไม่ได้ก็คือ การที่เจ้าหน้าที่ตำรวจหันมาให้ความสนใจ และเข้ามามีส่วนร่วมในการควบคุมพฤติกรรมพระภิกษุสามเณรในครั้งนี้ ถึงขนาดมีการขึ้นบัญชีพระสงฆ์กันเลยทีเดียวนั่นคือสิ่งที่เราอดห่วงไม่ได้ เพราะ การปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ตำรวจในครั้งนี้ มีการใช้มาตรการที่เด็ดขาดอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ในการควบคุมพฤติกรรมของพระภิกษุสามเณรโดยเฉพาะการขึ้นบัญชีพระสงฆ์ที่จะต้องถูกจับตาเป็นพิเศษ และเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนสอบสวนแล้วพบว่าพระรูปนั้นมีความผิด ก็จะนำตัวไปดำเนินการสึกต่อเจ้าคณะผู้ปกครองทันทีนั้น ซึ่งเรามองว่าหากเป็นการกระทำความผิดซึ่งหน้า เช่น พระเสพยาเสพติด คงไม่มีใครคัดค้านที่จะนำตัวพระรูปนั้นไปดำเนินการสึกแต่หากพระรูปนั้นมีความผิดที่ต้องมีการสอบสวนตามพระธรรมวินัย ซึ่งจากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจัดกลุ่มไว้มีอยู่ 2 กลุ่ม คือ อวดอุตริ แสดงอิทธิฤทธิ์ และเสพเมถุน ที่ตามหลักพระธรรมวินัยแล้ว จะต้องมีการตั้งกรรมการสอบอธิกรณ์ก่อน ไม่ใช่จะไปจับสึกได้ทันทีดังนั้น การดำเนินการกับพระสงฆ์ 2 กลุ่มนี้ อาจจะส่งผลให้เจ้าหน้าที่ตำรวจถูกมองว่าข้ามขั้นตอนการสอบสวนทางพระธรรมวินัยที่คณะสงฆ์ยึดถือปฏิบัติกันมาโดยตลอดและอาจจะกระทบถึงเรื่องความศรัทธาซึ่งมีความละเอียดอ่อนสำหรับคณะสงฆ์ และพุทธศาสนิกชนจะเป็นการดีกว่าหรือไม่ หากเจ้าหน้าที่ตำรวจจะปรึกษาคณะสงฆ์เสียก่อน ในกรณีที่พบว่ามีพระสงฆ์ประพฤติผิดพระธรรมวินัยเรายังเชื่อว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจเองก็มีเจตนาที่ดีในการช่วยทำให้สังฆมณฑลกลับมาเป็นที่เลื่อมใส ศรัทธาแก่ประชาชนอีกครั้ง เช่นเดียวกับมหาเถรสมาคมเพราะสุดท้ายแล้ว จุดมุ่งหมายในปฏิบัติการของคณะสงฆ์ และเจ้าหน้าที่ตำรวจในครั้งนี้ล้วนคือสิ่งเดียวกันคือกู้วิกฤติศรัทธาในพระสงฆ์ ให้กลับมามั่นคง และยั่งยืน เฉกเช่นในอดีตอีกครั้ง...ทีมข่าวศาสนา