อภิวัฒน์สยาม 24 มิ.ย.2475 ถึงปัจจุบัน 93 ปี ปัญหาย้อนกลับไปเรื่องเดิมโดยผู้ทรงอำนาจสูงสุดของระเบียบการเมืองสมัยใหม่ไม่ใช่เป็นของราษฎรพอมีปัญหาทุกครั้งหลังการเลือกตั้งยังวนเวียนอยู่ที่นิติสงคราม-รัฐประหารนั่นเป็นมุมมองเชิงวิชาการที่ นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า สะท้อนให้เห็นภาพหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองลากยาวมาจนถึงการเมืองยุคปัจจุบัน ที่ยังเป็นการต่อสู้ในทางอำนาจระหว่างกลุ่มชนชั้นปกครองกับกลุ่มชนชั้นที่ไม่ได้ปกครองจนถึงปี 2490 เกิดรัฐประหารโดยกองทัพ เป็นความขัดแย้งกันเองในคณะราษฎรระหว่างทหารกับพลเรือนหลังจากนั้นพอการเมืองถึงทางตัน กลายเป็นวัฏจักรทหารออกมายึดอำนาจ มันเริ่มเข้าสู่วัฏจักร พอเลือกตั้งไปสักพักมีความขัดแย้งเกิดขึ้นหรือมีปัญหาปัจจัยภายนอก ปัจจัยภายในต่างๆก็มีรัฐประหารเกิดขึ้นดำรงอย่างนี้เรื่อยมาทำให้ระบอบประชาธิปไตยที่เริ่มต้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ค่อยๆต่อสู้ ค่อยๆปะทะ ค่อยๆปรับตัวซึ่งกันและกัน จนสามารถหาจุดสมดุลความสัมพันธ์ระหว่างสถาบัน-สภา-รัฐบาล ยังไม่เกิดขึ้นสักที ยื้อกันไปยื้อกันมายุคปัจจุบันก็ยังเป็นปัญหา สถาบัน-กองทัพยังมีบทบาททางการเมืองอยู่ แต่ไม่จำเป็นต้องแสดงออก ปล่อยให้เลือกตั้งและสภาว่ากันไป สุดท้ายจนแล้วจนรอดมันเป็น “ระบอบประชาธิปไตยแบบ 2 ใบอนุญาต”นักการเมืองทุกคน ทุกพรรคการเมืองต้องหาใบอนุญาตที่หนึ่ง เป็นเสียงจากสวรรค์ที่ประชาชนเลือกเข้ามา แต่ไม่เพียงพอให้คุณได้เป็นรัฐบาล ต้องมีใบอนุญาตที่สองที่ออกโดยกลุ่มก้อนชนชั้นนำทั้งหมด ที่เป็นกลุ่มทางอำนาจ มีทั้งชนชั้นนำดั้งเดิม ชนชั้นนำทางทหาร ชนชั้นนำทางเศรษฐกิจ“พอสภาพมันเป็นแบบนี้ นักการเมือง พรรคการเมืองมักคิดระยะสั้นต้องการเข้าไปมีอำนาจต้องพยายามปรับตัว เพื่อมีใบ อนุญาตใบที่สองเมื่อเข้าไปแล้วก็พยายามทิ้งใบอนุญาตใบแรก มุ่งมั่นรักษาใบอนุญาตที่สอง เพราะกล้วตัวเองมีอันเป็นไปหลุดจากตำแหน่งถ้านักการเมืองคิดยาวกว่านี้ ต้องผนึกกำลังทำให้ใบอนุญาตใบแรกเข้มข้นมีมากกว่าใบอนุญาตที่สอง ใบอนุญาตที่สองอาจยังคงมีอยู่ เมื่อเข้าบริหารประเทศก็ต้องคุยกับกลุ่มชนชั้นนำให้รู้เรื่องแต่ปรากฏว่าเมื่อมีอำนาจรัฐ ก็สู้กันเอง พยายามหาทางทำลายอีกฝั่งหนึ่ง นิติสงครามบ้างหาทางแย้งกัน แสดงตัวว่าอยู่กับใบอนุญาตที่สองบ้าง เพื่อประคับประคองตัวเองไปจนหมดวาระ เดี๋ยวว่ากันใหม่ตอนเลือกตั้ง”การเมืองแบบนี้เรื้อรังมาตั้งแต่รัฐประหาร 19 ก.ย. 49 ลองสังเกตดูวนมาทุก 2 ทศวรรษ ทำให้ฝั่งที่รู้สึกว่าประชาธิปไตยมันไม่เวิร์ก ต้องเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น ในทางกลับกันขอชวนคิดถึงระเบียบการเมืองสมัยใหม่ 93 ปีไม่เคยมีโอกาสพัฒนาที่ยาวนานเพียงพอ เดินไปสักพักสะดุดอีกแล้วรัฐประหารทุกครั้งเขาสร้างกับดักซ่อนไว้ในรัฐธรรมนูญ กลไกเหล่านี้ทำให้ศูนย์อำนาจที่มาจากประชาชนหรือใบอนุญาตใบแรกหดแคบลงเรื่อยๆ แต่ศูนย์อำนาจที่เป็นใบอนุญาตที่สองขยายใหญ่ ไม่สมดุลกัน กลายเป็นปัญหาเรื้อรังมาตั้งแต่อภิวัฒน์สยาม 24 มิ.ย.2475ในยามสถานการณ์ปกติมักไม่ค่อยเห็น แต่ยามวิกฤติการเมืองปุ๊บจะเห็นการขับเคลื่อนของอำนาจที่แท้จริงจากใบอนุญาตที่สอง มันไม่ได้อยู่ที่ใบอนุญาตที่หนึ่งเช่น เหตุการณ์ “คลิปนายกฯคุยกับลุง” มันมีการชุมนุมผ่านโซเชียลมีเดียไปแล้ว เขาไม่ได้ออกมาบนท้องถนน แสดงให้เห็น “วิกฤตการณ์ความชอบธรรมของนายกรัฐมนตรี” แล้ว ประชาชนไม่ได้ทำให้นายกฯออกจากตำแหน่งได้ แต่ที่ทำได้คือพรรคร่วมรัฐบาล-กองทัพ-องค์กรอิสระเวลานี้สภาพรัฐบาลอิ๊งค์มีอำนาจไม่เต็มส่วนสถานการณ์วันนี้มันโหด วิกฤติเต็มสูบ อำนาจไม่เต็มร้อย โดยมิติความมั่นคง ชายแดน อยู่ในมือกองทัพทั้งหมด อำนาจอีกส่วนอยู่กับพรรคร่วมรัฐบาล มีอำนาจต่อรอง กดดัน ออกหนึ่งพรรครัฐบาลไปทันทีฉะนั้นรัฐบาลได้สูญเสียใบอนุญาตที่หนึ่งไปเรียบร้อย ถ้าเชื่อว่าใบอนุญาตใบนี้ คืออำนาจของประชาชนยังอยู่กับรัฐบาล พรรคเพื่อไทยจะไม่กลัวการเลือกตั้งเมื่อเกิดวิกฤติต้องพร้อมผ่าทางตันลงเลือกตั้งใหม่“ครั้งนี้ไม่กล้ากลับไปเลือกตั้งเพราะรู้ว่าอาจไม่ได้กลับมาอีก ขอสู้อยู่แบบนี้กอดใบอนุญาตที่สองไปดีกว่า อย่างน้อยอีกเฮือกหนึ่ง 2 ปีที่เหลือ เป็นการคิดไม่เกินจมูกตัวเองอย่างน้อยนักการเมืองที่เป็นรัฐบุรุษ วีรสตรี นักการเมืองที่เป็นผู้นำชาติได้ เวลาเกิดวิกฤติต้องคิดถึงรุ่นถัดไป คิดถึงส่วนรวม ไม่ใช่คิดถึงตัวเองหรือคิดถึงครอบครัวรัฐบาลอยู่ต่อไปในลักษณะประคองกันไป ไม่สามารถทำเรื่องที่ใหญ่ๆได้ และคาดหวังมีปาฏิหาริย์บางอย่างที่ทำให้สำเร็จบางเรื่อง จะได้กลับไปเลือกตั้ง”ทางออกต้องยุบสภารีบูสต์ฟื้นชีวิตสภา–การเมืองเคยเสนอไป แต่ทางออกนี้นายกฯไม่เอา ทั้งที่เป็นการฟื้นชีวิตสภา ตอนนี้การเมืองที่เริ่มตอนปี 66 มันเหี่ยวไปแล้ว หลังประชาชนเลือกหวังพรรคก้าวไกลในตอนนั้นบวกพรรคเพื่อไทย 2 พรรคมีเสียง 70% เป็นรัฐบาล ปรากฏว่ามันไม่ใช่ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาพอเป็นลักษณะนี้องค์ประกอบผิดเพี้ยนไปจากการเลือกตั้ง 2 ปีที่ผ่านมาทำอะไรไม่ได้ มีแต่ปัญหาใหม่ๆเกิดขึ้นเรื่อยๆ เกิดวิกฤติความชอบธรรม เช่นเดียวกับสภา ตอนนี้ สส.ย้ายกันมั่วเต็มไปหมด พอรัฐบาลง่อนแง่น ก็เกิดการดึงตัวกันไปมา ซื้อโหวตเป็นครั้ง ไปซื้อยกพรรคจนพรรคแตกไปหมดแล้ว องค์ประกอบเช่นนี้ยิ่งทำให้ประชาชนผิดหวัง หากกลับไปเลือกตั้งใหม่ ใครอยากย้ายก็ย้ายให้จบๆไปรัฐบาลกะเตงต่ออีก 2 ปี จะไม่มีอะไรดีขึ้น สู้เอาอำนาจกลับไปให้ประชาชนตัดสินใจใหม่ สังคมก็โฟกัสว่าเอาใครเป็นรัฐบาล เอาใครเป็นนายกฯ นโยบายแก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา แก้อย่างไร เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์เอาไปบอกประชาชนเลยว่าจะทำ รวมถึงนโยบายด้านอื่นๆใช้เวลา 90-120 วันรู้เรื่องได้รัฐบาลใหม่ โดยไม่รู้หรอกว่าใครจะชนะเลือกตั้ง อย่างน้อยรัฐบาลใหม่กลับมามีอำนาจเต็ม มีกำลังวังชารัฐบาล–สภามีความชอบธรรม เป็นการผ่าทางตันแต่ทิศทางที่นายกฯเลือกปรับ ครม.ทำให้นักการเมืองจำพวกรักชาติจนน้ำลายไหลหยดติ๋งๆ แย่งกันต่อรองในสภาพที่พรรคเพื่อไทยต้องง้อ ท่ามกลางวิกฤตการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นายกฯมีอำนาจไม่เต็มองค์ประกอบแบบนี้จะเกิดนิติสงครามตามมา ประสบการณ์ในอดีตสอนว่า ยามพายุหมุนนิติสงครามไปแบบพรึบๆเลย มันไม่ได้แก้ปัญหาของชาติ ไม่ได้ส่งมอบนโยบายสำคัญให้ประชาชนในยามเศรษฐกิจและการเมืองรุมเร้า แม้นายกฯลาออกก็มีสภาพปัญหาแบบเดิม ประชาชนมองเข้ามาเห็นก็สังเวชหากยุบสภาปุ๊บมันเป็นหลักพื้นฐาน ถ้ารัฐบาลไปต่อไม่ได้ก็คืนอำนาจให้ประชาชน โอ้โหเชื่อว่าประชาชนมีความคึกคักกลับมาใหม่ เป็นทางออกการเมืองไทยเพราะขณะนี้กำลังเดินไปถึงทางตันแน่ แม้บริบทอาจแตกต่างจาก 2 ครั้งที่ผ่านมา แน่นอนที่สุดรัฐประหารโดยกองทัพเกิดขึ้นได้ยากในยุคนี้ เพราะต้องบ่ม-บิลต์-สร้างสถานการณ์ลากกันไป ดูจากครั้งที่แล้วลากกันเป็นปีกว่าจบที่ยึดอำนาจ ฉะนั้นไม่เกิดขึ้นเร็วๆนี้ และเชื่ออาจไม่เกิดในสมัยนี้แต่มันมีขบวนการนักสร้างสุญญากาศต้องทำให้ไปถึงทางตัน ให้เกิดช่องว่างทางอำนาจจนแก้ปัญหาไม่ได้ เพื่อเปิดประตูให้อำนาจพิเศษเข้ามาสัญญาณสร้างสุญญากาศมันมาแบบนี้ณ วันนี้นายกรัฐมนตรียังมีอำนาจยุบสภา.ทีมการเมืองคลิกอ่านคอลัมน์ “วิเคราะห์การเมือง” เพิ่มเติม