แม้จะเดินหน้าต่อไปได้เพราะพรรคร่วมรัฐบาลยังคงอุ้มต่อไปเพื่อแลกกับตำแหน่งรัฐมนตรีแต่ก็มีอุปสรรคอีกหลายอย่างที่กดดันอยู่
คือเสียงเรียกร้องให้แสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกจากตำแหน่ง โดยเฉพาะกลุ่มรวมพลังแผ่นดินที่นัดหมายชุมนุมใหญ่
28 มิ.ย.2568 ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
ที่จ่ออยู่อีกเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องของนิติสงครามที่ “มงคล สุระสัจจะ” ประธาน สว. ได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยพฤติกรรมของ “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี
ว่าฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรงหรือไม่
กรณี “คลิปฉาว” เป็นการสนทนาระหว่างนายกรัฐมนตรีไทยกับ “ฮุน เซน” ที่สร้างความฮือฮาไปทั้งบ้านทั้งเมือง
ประเด็นอยู่ที่ว่าศาลรัฐธรรมนูญจะรับหรือไม่รับ
ถ้าไม่รับก็จบ!
แต่ถ้ารับและสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่นั่นแหละเรื่องยาวแน่
ไม่ต่างกับ “เศรษฐา ทวีสิน” อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ถูกยื่นคำร้องเช่นเดียวกับกรณีแต่งตั้งรัฐมนตรีที่ขาดคุณสมบัติ
แม้ไม่สั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่
แต่วินิจฉัยว่าฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรงจนต้องพ้นจากตำแหน่ง
นี่เป็นทางตามลายแทงเดียวกันหากศาลชี้ว่ามีความผิดจริงก็ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
เป็นนายกรัฐมนตรีในสังกัดตระกูล “ชิน” คนที่ 2 ที่ต้องพ้นจากตำแหน่งในเวลาไล่เลี่ยกัน เพราะเป็นนายกรัฐมนตรีคนถัดมา
พูดง่ายๆว่าเส้นทางการเมืองที่มี “กับดัก” รออยู่ตลอดเส้นทางเดินประกาศไม่ลาออก ไม่ยุบสภา แต่พรรคร่วมรัฐบาลยังสนับสนุนให้ทำหน้าที่ต่อไป
ด้วยเหตุผลรวมพลังเพื่อปกป้องอธิปไตย
พูดง่ายๆอาศัยเงื่อนไขซ้อนเงื่อนไขเพื่อจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป
ว่าไปแล้วแม้จะผ่านภาวการณ์ที่หนักมาได้แต่ก็หาใช่ว่าจะผ่านพ้นไปได้ง่ายๆ วันนี้ปัญหาต่างๆไม่ใช่แต่เรื่องในประเทศเท่านั้น
...
แต่เรื่องโลกก็หนักหนาไม่น้อย โดยเฉพาะที่สหรัฐฯ-อิสราเอลเปิดฉากถล่มอิหร่านจนทำให้เหตุการณ์บานปลาย
หวั่นใจว่าจะนำไปสู่สงครามโลกได้!
แค่เริ่มต้นไทยก็ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้น เนื่องจากอิหร่านประกาศปิดเส้นทางขนส่งน้ำมันช่องแคบฮอร์มุซ
ซึ่งเป็นเส้นทางขนส่งน้ำมันที่สำคัญของโลก
ผลก็คือราคาน้ำมันต้องพุ่งสูงขึ้นแน่จะทำให้ต้นทุนต่างๆเพิ่มมากขึ้นยิ่งเศรษฐกิจไทยที่เปราะบางอย่างนี้
จะยิ่งซ้ำเติมหนักเข้าไปอีก!
ว่าไปแล้วสงครามในตะวันออกกลางนั้นหนักหนากว่าปัญหาขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชามากมายหนัก
เพียงแต่เป็นเรื่องระหว่าง 2 ประเทศที่มีชายแดนติดต่อกัน
ทำให้หงุดหงิดหัวใจเพราะไม่น่าจะมีเหตุแบบนี้เกิดขึ้น
ประเด็นสำคัญที่โยงกับไทยมากๆก็คือ “ฮุน เซน” นั้นสนิทสนมกับ “พ่อนายกฯ” เป็นอย่างดี แต่เขาเลือกผลประโยชน์ของเขามากกว่าความเป็นเพื่อน
ที่น่าสังเกตก็คือ “พ่อนายกฯ” ไม่ได้แสดงปฏิกิริยาอะไรเพื่อตอบโต้ให้เห็นเลย
แต่กลับปล่อยให้ “ลูกสาว” ต้องถูกเพื่อนรังแกแบบไม่ไว้หน้าเลยสักนิด!
"สายล่อฟ้า"
คลิกอ่านคอลัมน์ “กล้าได้กล้าเสีย” เพิ่มเติม