ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา ยังคงร้อนแรงยกระดับสู่ “สงครามข้อมูลข่าวสารเต็มรูปแบบ” หลังสมเด็จฮุน เซน ของกัมพูชาอัดคลิปสนทนาส่วนตัวกับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทยนำ ออกมาเผยแพร่กระหึ่มโซเชียลจนเกิดแรงสั่นสะเทือนต่อความมั่นคงของประเทศเนื้อหาในคลิปเสียงนั้น “นายกฯ” เจรจาต่อรองปัญหาเขตแดนกับกัมพูชาช่วงหนึ่งสื่อถึงความไม่ไว้วางใจในกองทัพ “แม่ทัพภาคที่ 2” เป็นถ้อยคำถูกมองกระทบความมั่นคงจนเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ในวงการเมืองและสังคมทำให้เป็นชนวนความตึงเครียดทางการเมืองรอบใหม่ “พรรคภูมิใจไทย” จึงได้ตัดสินใจออกจากการร่วมรัฐบาล “นักเคลื่อนไหวทางการเมืองหลายกลุ่ม” ก็นัดชุมนุมใหญ่เรียกร้องให้นายกฯแสดงความรับผิดชอบในเรื่องนี้ รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคง และการต่างประเทศ มองว่า ตอนนี้ประเทศไทยเผชิญปัญหาภายใน และภายนอก “คงต้องแก้ไขควบคู่กันไป” แน่นอนว่าศึกภายในอาจต้องเร่งเจรจาประคองสถานการณ์ให้ผ่านพ้นไป พร้อมทั้งสื่อสารกับประชาชนด้วยการขออภัย และสร้างความมั่นใจ แม้เสียงตอบรับจะต่างกัน บางส่วนก็เปิดใจรับฟัง และคนไม่พอใจอยู่แล้วก็คงไม่ยอมเปลี่ยนแปลงอะไรในส่วนศึกภายนอก “ต้องเฝ้าระวังการรุกล้ำ หรือแทรกแซงมาอีก” ในเรื่องนี้ความจริงหลักการเจรจาการทูตมักเข้าใจยากสำหรับประชาชนทั่วไป “ไม่มีประสบการณ์ตรง” ทำให้เกิดความย้อนแย้งต่อความมั่นคงของชาติ และความปลอดภัยของประชาชน เพราะเจรจาทางการทูตต้องอาศัยทุกอย่างที่มีในมือต่อรองกับอีกฝ่ายอีกเรื่องคือ “นายกรัฐมนตรี” ออกมาแถลงระบุว่ากรณีพูดคุยกับฮุน เซนนั้นเป็นการพบนอกเวทีพิธีการทูตตามถ้อยแถลงเบื้องต้นแต่ต่อมาทางทำเนียบรัฐบาลกลับออกแถลงการณ์ยืนยันว่า “เป็นการเจรจาทางการทูต” ที่ต้องดำเนินการเป็นระเบียบอยู่ในกรอบก็ทำให้เกิดความสับสนว่าเหตุใดไม่ปฏิบัติตามระเบียบประจำปกตินั้นแม้แต่การเจรจาไม่เป็นทางการ “ยังต้องอยู่ในกรอบปฏิบัติปกติ” ที่มีหน่วยงานรับผิดชอบโดยตรงทั้งเลขาธิการ สมช. เลขาธิการนายกฯ รองเลขาธิการฝ่ายการต่างประเทศ โฆษกรัฐบาล กระทรวงการต่างประเทศ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ ศูนย์รักษาความปลอดภัย ทั้งหมดเป็นทีมงานหลักที่ต้องมาร่วมกันเมื่อมีการเจรจาเกิดขึ้น โดยเข้ามาสนับสนุนการตัดสินใจ “ไม่ปล่อยให้นายกฯเจรจาลำพัง” เหตุการณ์ครั้งนี้ถือว่าอันตรายมาก เพราะต้องเผชิญคู่เจรจามีประสบการณ์สูง “มีจุดยืนแน่วแน่เดินสุดซอย” เหตุใดปล่อยให้เกิดช่องว่างนี้ขึ้นได้ประการถัดมา “ความสนิทสนมก่อเกิดความเชื่อใจ” ด้วยผู้นำ 2 ฝ่ายมีสายสัมพันธ์คล้ายเครือญาติกันด้วยซ้ำ “สังเกตน้ำเสียงคลิปเริ่มต้นพูดอ่อนน้อมถ่อมตน” แสดงให้เห็นคู่เจรจาไม่อยู่ระดับเท่ากันตั้งแต่นาทีแรกแต่การเจรจาระหว่างประเทศ “ต้องตั้งบนศักดิ์ศรีของรัฐ และพื้นฐานความเท่ากัน” ไม่ว่าบุคคลนั้นอายุน้อย เพศใด หรือมีความสนิทสนมกันก็ตาม “แบบนี้ส่งผลเสียต่อความมั่นคง” เพราะความสนิทสนมส่วนตัวใช้เอื้อให้เกิดความสะดวกบางมิติ เช่น การติดต่อถึงผู้นำตรงข้าม ขั้นตอนราชการที่มีพิธีทางการอาจไม่ทันสถานการณ์กรณีนี้กลับใช้ข้ามขั้นตอนทั้งระบบ “ไม่เหลือกลไกตรวจสอบ” จนสงสัยเหตุใดกระบวนการทั้งหมดถูกลัดขั้นตอนได้เพียงนี้ ขณะที่กัมพูชาก็ดูเหมือนจะมองเห็นช่องโหว่ตั้งแต่ต้น และใช้เป็นจุดรุกอย่างเต็มที่โดยไม่ลังเล“ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะฮุน เซน เห็นฝ่ายไทยตั้งหลักในแง่ของระบบความเสถียรภาพ เริ่มมีการประชุมสภาความมั่นคง และความพร้อมของผู้บัญชาการเหล่าทัพร่วมกันได้ดี ทำให้กัมพูชาหมดทางเลือกปล่อยคลิปวิดีโอออกมาที่อาจมีข้อมูลอีกมากถูกเตรียมไว้เพื่อใช้ในจังหวะเสียเปรียบให้กลายเป็นได้เปรียบ” รศ.ดร.ปณิธาน ว่าประเด็นคือ “คลิปสร้างความไม่ไว้วางใจต่อกัน” โดยปรากฏเห็นชัดว่านายกฯกำลังไม่ไว้วางใจฝ่ายทหาร “แต่ไม่อาจตำหนินายกฯได้ทั้งหมด” เพราะมีประสบการณ์ส่วนตัวในอดีตที่ครอบครัวเคยเผชิญรัฐประหารโดยน้ำมือของทหารจนยากจะเชื่อใจใครได้แต่ความรู้สึกนี้นำมาเป็นเหตุในการเจรจาอ้างว่าเป็นเทคนิคทางการทูตคงไม่ได้เพราะกระทบต่อ “ฝ่ายปฏิบัติตกอยู่ในสภาวะนายกฯไม่วางใจ” แล้วคนส่วนใหญ่ที่ดูคลิปวิดีโอก็มองเป็นเรื่องจริงแบบนั้นก็เท่ากับว่า “คนนั้นถูกมองว่าหมดสภาพการทำงาน” ด้วยความเคารพอาจจะต้องเปิดทางให้นายกฯแต่งตั้งคนใหม่ด้วยซ้ำแต่ว่าการเปลี่ยนตัวผู้นำทางทหารในเวลานี้เท่ากับเปลี่ยนม้ากลางศึกยิ่งทำให้ปั่นป่วนอันจะกลายเป็นช่องว่างให้ “ฝ่ายกัมพูชาได้เปรียบ” ทำให้ตอนนี้ต้องอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก แล้วในส่วนตัวตั้งแต่ทำงานด้านความมั่นคงนั้นก็ไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้มาก่อนจนมีความน่าเป็นห่วงอย่างมากย้ำหากพิจารณาในมิติทางการทูต “การปล่อยคลิปแม้ถูกมองว่าเสียมารยาทแต่ก็ไม่ร้ายแรง” เนื่องจากเราไม่มีข้อตกลงให้ชัดเรื่องการเปิดเผยได้และไม่ได้ เพราะทุกการเจรจาล้วนมีความอ่อนไหวสูง “ควรซักซ้อมทำความเข้าใจกันล่วงหน้า” ด้วยเรื่องนี้ไม่ใช่แค่รักษามารยาทแต่ต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติเป็นหลักด้วยซ้ำ ดังนั้น การประชุมควรต้องวางระบบ “หากคุณปล่อยคลิปเราก็มีคลิปโต้กลับ” แต่ครั้งนี้กลับไม่มีจุดทำให้ฮุน เซน เสียหายเลยจึงกล้าปล่อยบางส่วนออกมา แต่ถ้าฝ่ายไทยมีคลิปอีกครึ่งทำให้กัมพูชาเสียหายได้ก็ควรปล่อยออกมาตอบโต้เช่นกัน พูดง่ายๆ “ต้องวางยาเขาเหมือนกัน” เพราะการเจรจาทางการทูตมักเล่นกันแบบนี้เสมอเหตุการณ์นี้สะท้อนว่า “ระบบป้องกันดูแลของไทยอ่อนแอกว่าที่คิดไว้มาก” ในการแก้เกมระยะสั้นต้องเร่งจัดการด่านชายแดน เพื่อกดดันให้กัมพูชามาพูดคุย JBC และรีบต่อยอดไปสู่ RBC ที่เพิ่งเลื่อนประชุมออกไปสิ่งที่ต้องระวังการปล่อยข้อมูลบิดเบือน หรือข้อมูลจริง “ไทย” ก็ต้องเตรียมข้อมูลโต้กลับให้พร้อมที่มีทีมโฆษก 4 คนรับหน้าที่ตั้งแต่ 3 สัปดาห์ก่อน ส่วนระยะกลางควรใช้เวทีนานาชาติ และอิทธิพลมหาอำนาจกดดันกัมพูชามาเจรจากับไทย “เราก็จะได้เปรียบ” ส่วน มหาอำนาจใดอยู่ข้างใครยังไม่ชัด “ฝรั่งเศส” แบ่งรับแบ่งสู้ “สหรัฐฯ” ยังรอดูท่าทีส่วน “จีน” ประกาศเป็นทางการไม่ยุ่งเกี่ยวแต่ยังมีความเคลื่อนไหวไม่เป็นทางการกับกัมพูชา “รัสเซีย” อาจขยับได้ตามสถานการณ์ “ญี่ปุ่น” แม้เงียบๆแต่ใกล้ชิดกัมพูชา และมีผลประโยชน์สูงในพื้นที่ฉะนั้นสถานการณ์การเมืองภายในผันแปรเช่นนี้ “ทุกฝ่ายต้องระมัดระวังการรุกคืบของกัมพูชา และฮุน เซน” แล้วหวังว่าฝ่ายทหารจะไม่เสียกำลังใจ และถอดใจในการทำหน้าที่ปกป้องบ้านเมืองให้ดีที่สุดยามนี้ในระหว่างที่ฝ่ายบริหารกำลังเร่งแก้ปัญหาของตัวเองให้ลุล่วงโดยเร็ว...คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม