เคยได้ยินคำโบราณ ยิ่งเรียนยิ่งโง่ กันบ้างไหม? ตอนผมได้ยินครั้งแรก ถึงกับอึ้ง ก็ไหนพวกผู้ใหญ่เคยสอนนักสอนหนา ให้ขยันเรียนหนังสือ ยิ่งเรียนยิ่งฉลาด โตไปจะได้เป็นเจ้าคนนายคน วันนี้ เรามาทดสอบกัน คำใดผิด คำใดถูก ถูกทั้งสองข้อ หรือผิดทั้งสองข้อในหนังสือ “เกร็ดภาษาไทย เล่ม 1” (พิมพ์คำสำนักพิมพ์ พิมพ์ครั้งที่ 7 พ.ศ.2553) ส.พลายน้อย เขียนถึงคำว่า “ชายฉกรรจ์” อาจารย์เริ่มต้น คำนี้ดูเหมือนว่า เราจะเข้าใจกันคลาดเคลื่อนถ้าหากถามกับคนทั่วไป มักจะเข้าใจกันว่า ชายฉกรรจ์หมายถึงคนหนุ่ม แต่ความหมายทางภาษา ฉกรรจ์ หมายความว่า ร้าย ดุร้าย เก่งกาจ แข็งแรง ชายฉกรรจ์ก็หมายถึงชายที่แข็งแรงนั่นเองแต่ในทางกฎหมายชายฉกรรจ์ไม่เหมือนที่เราใช้ในแง่อักษรศาสตร์ ทั้งทางกฎหมาย ยังใช้เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย ตามพระราชกำหนด อายุบุคคล ที่เป็นชายฉกรรจ์ และปลดชรา ร.ศ.118 ว่า บุคคลชนิดที่ต้องบวกบัญชีขึ้นรับราชการนั้นแต่กาลก่อน กำหนดเอา สัณฐานสูง 2 ศอกคืบเป็นฉกรรจ์ แต่ตามประกาศฉบับนี้ ให้ถือเอาอายุ 18 ปีขึ้นไป จนถึง 60 ปี เป็นฉกรรจ์ประกาศฉบับนี้ เป็นประกาศที่เกี่ยวแก่เลข ลูกหมู่ ซึ่งในบัดนี้ไม่มีแล้วส่วนตามพระราชบัญญัติลักษณะเก็บเงินรัชชูปการ พ.ศ.2462 กำหนดเอาชายที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป จนถึง 60 ปี เป็นชายฉกรรจ์ต่อมามีพระราชบัญญัติลักษณะเงินรัชชูปการ พ.ศ.2468 แก้ไขเปลี่ยนแปลงพระราชบัญญัติเดิม กำหนดเอาคนเข้าถึงภาวะการเป็นผู้ใหญ่ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จนถึงอายุ 60 ปี เป็นชายฉกรรจ์(ดู พ.ร.บ.เงินรัชชูปการ พ.ศ.2468 มาตรา 4 ข้อ 1 ป.ก.พ.มาตรา 19-20)แต่ตามพระราชบัญญัติลักษณะเกณฑ์ทหาร พ.ศ.2460 กำหนดเอาชายอายุ 21 ปี (ถูกเกณฑ์) จนถึงอายุ 46 ปี (ครบกำหนดกองหนุนชั้นที่ 3) เป็นชายฉกรรจ์ไม่ว่าจะพูดกันในทางภาษาหรือในทางกฎหมาย ชายฉกรรจ์ ดูจะเป็นเรื่องของผู้ชาย จึงมีคำถามตามมาว่า แล้วคำว่า “หญิงฉกรรจ์” ไม่มีเรียกกันบ้างหรือ?ส.พลายน้อย ตอบคำถาม...ไม่เคยได้ยินใครพูดถึงหญิงฉกรรจ์เลย ชายฉกรรจ์เราใช้พูดกันบ่อยๆ จึงติดหูติดปาก แต่ความจริง คำว่าหญิงฉกรรจ์นั้น มีใช้ในภาษากฎหมาย แต่ใช้กันน้อยและคำที่ใช้ก็เพี้ยนจากหญิงฉกรรจ์ เป็นหญิงสะกัน แทบจะเป็นคนละคำกันไปเลยหญิงสะกัน ตามกฎหมายกำหนดไว้ เป็นหญิงที่มีอายุอยู่ระหว่าง 21 ปี ถึง 30 ปีเป็นอันได้รู้ ผู้หญิงแตกต่างจากผู้ชาย ถูกมองว่าจะเหี้ยมหาญ โหดร้าย หรือเก่งกาจได้ ในช่วงเวลาแค่สิบปีส.พลายน้อย ไม่ได้บอกด้วยว่า ทางการเอา “หญิงสะกัน” ไปใช้ทำหน้าที่อะไร โอกาสไหน แต่ก็ต้องทำความเข้าใจ ในสมัยโบราณ สมัยนั้นสิทธิสตรียังมีน้อย จนมีคำเปรียบมากมาย เป็นช้างเท้าหลัง เป็นแม่ศรีเรือนแต่หากเป็นในสมัยนี้ สมัยที่ผู้หญิง หรือเพศที่สาม กฎหมายให้ความเท่าเทียมกัน ในเมืองไทย สิทธิผู้หญิงก้าวหน้าถึงขนาด เป็นนายกรัฐมนตรีแล้วสองคนผู้หญิงคนแรกเป็นนายกฯได้ ก็มีโอกาสเดียวกับผู้ชาย คือเมื่อมีคดีความใหญ่ ก็ต้องลี้ภัยการเมือง ไปอยู่ต่างประเทศได้ และโอกาสที่ว่า ก็ไม่ได้จำกัดไว้แค่น้า หรือหลานการเมืองบ้านเมืองนี้ กำลังถึงช่วงเวลา ที่ฝ่ายคนที่รักที่ชอบเขาเป็นห่วง ว่าหลานที่มีเหตุให้ไปเยี่ยมน้าถึงต่างประเทศกะทันหัน ...จะกลายเป็นผู้ลี้ภัยไปเป็นคนที่สอง เอ! หรือจะต้องนับเป็นคนที่สามเขาว่ากัน การเมือง อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น ไม่ใช่ฤา?กิเลน ประลองเชิงคลิกอ่านคอลัมน์ “ชักธงรบ” เพิ่มเติม