วันเสาร์สบายๆ วันนี้ไปคุยเรื่องดอกเบี้ยกันนะครับ การประชุม กนง.วันพุธ มีมติ 5 ต่อ 2 เสียง ให้ลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ตามที่ทุกฝ่ายคาดการณ์ จาก 2% เป็น 1.75% ให้มีผลทันที คุณสักกะภพ พันธ์ยานุกูล ผู้ช่วยผู้ว่าการแบงก์ชาติ เลขานุการ กนง.แถลงว่า พายุลูกใหญ่กำลังจะมา เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับความเสี่ยงจากสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้น ทำให้เศรษฐกิจ มีแนวโน้มขยายตัวลดลง และมีความเสี่ยงด้านต่ำเพิ่มขึ้น นโยบายการค้าโลกของประเทศเศรษฐกิจหลักในปัจจุบันยังคาดเดาได้ยาก ส่งผลกระทบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในระยะต่อไป อัตราเงินเฟ้อก็มีแนวโน้มต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย ภาวะการเงินโดยรวมยังตึงตัว กรรมการส่วนใหญ่เห็นควรให้ลดดอกเบี้ยในครั้งนี้ เพื่อให้ สอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจ และรองความเสี่ยงด้านต่ำที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งดูแลภาวะการเงินให้เหมาะสม
ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ ฉากทัศน์ต่างๆ ที่แบงก์ชาตินำมาวิเคราะห์ในครั้งนี้
ฉากทัศน์แรก ไตรมาส 1-2/2568 “พายุกำลังมา (Storm is Coming)” มีความไม่แน่นอนสูง แต่ยังไม่เห็นผลกระทบที่ชัดเจน ฉากทัศน์ที่สอง ครึ่งหลังของปี 2568 เป็นต้น ไทย “เข้าไปอยู่ในพายุ (In the Storm)” จะเห็นผลกระทบชัดเจนมากขึ้น ความเสี่ยงด้านต่ำสูง อาจมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด (Unexpected Shock) ฉากทัศน์ที่สาม เป็น End game : After the Storm หลังพายุใหญ่พัดผ่านไปแล้ว สิ่งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นก็คือ ปลายทางที่ยังไม่แน่นอน แต่ประสิทธิภาพของเศรษฐกิจโลกจะลดลง (การขยายตัวลดลง อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น) และ โลกลดการพึ่งพิงกับสหรัฐฯ
ใน ฉากทัศน์เกี่ยวกับอัตราภาษีตอบโต้ของทรัมป์ ที่มีความไม่แน่นอนสูงมาก แบงก์ชาติได้วิเคราะห์ออกมาเป็น 2 ฉากทัศน์ ดังนี้
ฉากทัศน์แรก สหรัฐฯมีการลดภาษีตอบโต้ลง การเจรจายืดเยื้อและล่าช้า สหรัฐฯมีการผ่อนผัน Reciprocal Tariffs ให้กับคู่ค้าเป็นระยะ รวมถึงผ่อนผันอัตราภาษีให้กับจีน ตั้งแต่ไตรมาส 3 โดยมี สมมติฐานเรื่องอัตราภาษีตั้งแต่ไตรมาส 3/2568 ดังนี้ ทุกประเทศโดนขึ้นภาษีถ้วนหน้า 10% จีนได้ผ่อนผันภาษีเหลือ 54% และภาษีในส่วนของรถยนต์และชิ้นส่วน เหล็ก อะลูมิเนียม ยังอยู่ที่ 25%
...
ฉากทัศน์ที่สอง กรณีสหรัฐฯเก็บภาษีตอบโต้ในอัตราที่สูงขึ้น ทุกประเทศที่เจรจาได้ลดภาษีลงครึ่งหนึ่งของ Reciprocal Tariffs ตั้งแต่ไตรมาส 3 โดยเศรษฐกิจสหรัฐฯมีแนวโน้มเข้าภาวะถดถอยทางเทคนิค (Technical Recession) ในปีนี้ โดยมีสมมติฐานว่า ทุกประเทศที่เจรจา Reciprocal Tariffs ได้ลดลงครึ่งหนึ่ง (50%) ตั้งแต่ไตรมาส 3 และ จีนถูกเก็บภาษีนำเข้าที่ 72.5% ส่วนรถยนต์และชิ้นส่วน เหล็ก อะลูมิเนียม ยังเก็บในอัตรา 25%
ทั้งสองฉากทัศน์นี้ จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยดังนี้
ผลกระทบโดยตรงต่อการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ซึ่งมีสัดส่วน 18.3% ของการส่งออกรวมของไทย การส่งออกไทยจะติดลบตั้งแต่ -2.9% ถึง -6.3% ส่งผลกระทบทางอ้อมผ่าน supply chain ไปยังสหรัฐฯ -0.3% ถึง -0.6% และผลกระทบจากการค้าโลกที่ซบเซาลง -0.9% ถึง -8.3% รวมแล้วจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยในระยะเวลา 1 ปี -4.1% ถึง -8.3% และส่งผลกระทบต่อจีดีพีไทยใน 1 ปี -0.4% ถึง -1.0%
เมื่อประมวลฉากทัศน์ต่างๆแล้ว แบงก์ชาติ ก็สรุปออกมาเป็นผลดังนี้
กรณีฉากทัศน์แรก จีดีพีปี 2568 จะเติบโตที่ 2.0% และปี 2569 เติบโตที่ 1.8% สูงกว่าที่ไอเอ็มเอฟและธนาคารโลกคาดการณ์ กรณีฉากทัศน์ที่สอง จีดีพีปี 2568 จะเติบโตเพียง 1.3% และปี 2569 จะเติบโตแค่ 1.0% จึงไม่แปลกที่ Moody’s บริษัทจัดอันดับยักษ์ใหญ่สหรัฐฯ จะปรับแนวโน้มเครดิตเศรษฐกิจไทยจากระดับ “มีเสถียรภาพ (stable)” เป็น “เชิงลบ (negative)” ข้อมูลเชิงลึกนี้ ผู้นำรัฐบาลต้องรู้ ต้องเร่งหาทางแก้ไขทันที ไม่ใช่ มองแบบคนไม่รู้เรื่อง เป็นแค่มุมมอง คิดแบบนั้นเสี่ยงสูงครับ.
“ลม เปลี่ยนทิศ”
คลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม