อัยการภาค 6 สั่งไม่ฟ้อง “พอล แชมเบอร์ส” หมิ่นเบื้องสูง-ผิด พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ ชงเรื่องศาลพิษณุโลกปล่อยตัว ส่งสำนวนให้ ผบช.ภ.6 เห็นแย้งหรือไม่ “พิชัย” มั่นใจแก้ปัญหาอุปสรรคเจรจาต่อรองกับสหรัฐฯได้ ยันไทยเป็นกลางในสงครามการค้า “วิญญัติ” รอหมายศาลทำคำชี้แจง “ทักษิณ” นอนป่วยชั้น 14 รพ.ตำรวจ มั่นใจแจงได้นายใหญ่ไร้กังวล “อนุทิน” มองไม่มีผลก่อแรงกระเพื่อมการเมือง “โรม” หวั่งพึ่งศาลสร้างความกระจ่างให้สังคม “ประธานวุฒิฯ” อู้อี้ กกต.เชือด “หมอเกศ” อ้างวุฒิฯด็อกเตอร์เก๊ กมธ.พัฒนาเศรษฐกิจแฉเล่ห์ยื้อตั้ง กก.วินิจฉัยภาษีตั๋วพีเอ็น “นายกฯอิ๊งค์” “วิโรจน์” ขู่เช็กบิลขุนคลังยื่น ป.ป.ช.ฟันละเว้นปฏิบัติหน้าที่ “แพทองธาร” ถกบอร์ดเอไอแห่งชาติ หวังเสริมเขี้ยวเล็บแข่งขันกับทั่วโลก
จากกรณี กอ.รมน.ภาค 3 แจ้งความดำเนินคดีกับนายพอล แชมเบอร์ส นักวิชาการชาวอเมริกันจากสถานศึกษาประชาคมอาเซียนศึกษา คณะสังคม ศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ในความผิดมาตรา112 จนถูกตั้งข้อสังเกตว่าเป็นอุปสรรคอย่างหนึ่งต่อทีมไทยแลนด์ในการเจรจาต่อรองเรื่องภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ล่าสุดอธิบดีอัยการภาค 6 มีคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหา พร้อมมีการยื่นคำร้องขอปล่อยตัวผู้ต้องหาต่อศาลจังหวัดพิษณุโลกแล้ว
อัยการภาค 6 สั่งไม่ฟ้องนักวิชาการมะกัน
เมื่อเวลา 14.30 น. วันที่ 1 พ.ค. นายศักดิ์เกษม นิไทรโยค ผู้ตรวจการอัยการ ในฐานะโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยว่า ตามที่สำนักงานอัยการจังหวัดพิษณุโลก สำนักงานอัยการสูงสุด ได้รับสำนวนสอบสวนจากพนักงานสอบสวน สภ.เมืองพิษณุโลก คดีระหว่าง พ.อ.มงคล วีระศิริ สังกัดกอ.รมน.ภาค 3 ผู้กล่าวหานายพอล แชมเบอร์ส (Dr.Paul Chambers) นักวิชาการชาวอเมริกันจากสถานศึกษาประชาคมอาเซียนศึกษา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ผู้ต้องหาข้อหาหมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศ หรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน ทำให้แพร่หลายซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่อาจกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 6 พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 (2), 20 ซึ่งพนักงานสอบสวนมีความเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาตามข้อกล่าวหา โดยผู้ต้องหาจะครบกำหนดฝากขัง ครั้งที่ 2 ในวันที่ 1 พ.ค.2568
...
ยื่นศาลปล่อยตัว–ส่งสำนวนให้ ผบช.ภ.6
นายศักดิ์เกษมเผยว่า เนื่องจากคดีนี้เป็นคดีสำคัญตามระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุด อธิบดีอัยการภาค 6 ได้มีคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาฐานหมิ่น ประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 6 ตามความเห็นและมติของคณะทำงานกำหนดแนวทางการบังคับใช้กฎหมายในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศ หรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน ทำให้แพร่หลายซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่อาจกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (2), 20 และพนักงานอัยการจังหวัดพิษณุโลกจะได้ดำเนินการยื่นคำร้องขอปล่อยตัวผู้ต้องหาต่อศาลจังหวัดพิษณุโลก พร้อมทั้งดำเนินการส่งสำนวนพร้อมความเห็นและคำสั่งไม่ฟ้องไปยังผู้บัญชาการตำรวจภูธร ภาค 6 เพื่อพิจารณาว่าจะมีความเห็นแย้งในคำสั่งไม่ฟ้องหรือไม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145/1 ต่อไป
“พิชัย” ยันไทยเป็นกลางสงครามการค้า
เมื่อเวลา 15.10 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯและ รมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ถึงการเตรียมพร้อมในการเจรจากับสหรัฐอเมริกาว่า เรื่องกำแพงภาษีเราได้เตรียมไปตรงจุดแล้ว แต่เมื่อเวลาผ่านไป เข้าใจว่าฝั่งสหรัฐฯต้องการดูแผนที่สามารถจับต้องได้มากขึ้น และทั้ง 2 ประเทศได้ผลประโยชน์อะไรร่วมกันบ้าง เขาคงอยากดูถึงความเป็นไปได้ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราได้ตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน แต่ที่เราห่วงคือ อันที่ไม่เกี่ยวกับภาษีมากกว่า เช่น เรื่องกติกาต่างๆ แต่ละประเทศไม่เหมือนกัน นอกจากนี้สหรัฐฯคงพิจารณาว่าบ้านเรามีอะไร น่าจะเป็นส่วนนี้มากกว่าที่เราจะต้องเตรียมโจทย์ เตรียมคำตอบ เมื่อถามถึงท่าทีไทยต่อสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ จะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลต่อการเจรจาหรือไม่ นายพิชัยกล่าวว่า คงทราบอยู่แล้วว่าเราอยากเป็นประเทศที่อยู่ตรงกลาง ประสานผลประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ฉะนั้นเวลาเราคุยจะไม่ได้ดูว่าเอาผลประโยชน์ของใคร แต่จะดูว่าเราจะเอาอะไรที่สามารถไปแลกเปลี่ยนได้
คดีนักวิชาการสหรัฐฯแก้ปัญหาได้
เมื่อถามว่าการเจรจาจะเป็นการเกาะกลุ่มอาเซียนกันไปหรือไม่ นายพิชัยกล่าวว่า หลายเรื่องอาเซียนคงต้องเกาะกัน พูดตรงๆ เราค้าขายในอาเซียนค่อนข้างเยอะ แต่ถ้าเงื่อนไขในประเทศอาเซียนแตกต่างกัน จะกลายเป็นว่าพวกเราจะมีปัญหากันเอง ดังนั้นหลักๆคงต้องไปด้วยกัน เมื่อถามว่าก่อนหน้านี้ไม่กี่วันมีการดำเนินคดี มาตรา 112 กับนายพอล แชมเบอร์ส นักวิชาการชาวสหรัฐฯ เรื่องนี้จะถูกนำมาเป็นปัจจัยหนึ่งที่กระทบต่อการเจรจาหรือไม่ นายพิชัยกล่าวว่า เรื่องนี้เราต้องสามารถแก้ไขปัญหาได้ เชื่อมั่นอย่างนั้น เชื่อว่าจะแก้ไขปัญหาได้
ทนาย “ทักษิณ” รอหมายศาลแจงชั้น 14
วันเดียวกัน นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความส่วนตัวของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ให้สัมภาษณ์ถึงขั้นตอนทางกฎหมายกรณีศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตั้งองค์คณะไต่สวนการบังคับโทษจำคุกของนายทักษิณ ที่ไปรักษาตัวในชั้น 14 รพ.ตำรวจ ว่า หลังจากนี้เราจะรอรับหมายจากศาลว่าจะสั่งให้เราทำอะไรบ้าง ซึ่งน่าจะมีสำเนาคำร้องของนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ส่งมาพร้อมกันด้วย โดยเราจะต้องทำคำชี้แจงภายใน 30 วัน และเมื่อชี้แจงไปแล้ว ศาลจะดูคำชี้แจงจากหน่วยงาน หรือบุคคลต่างๆ และต้องดูว่าในวันนัดพร้อม ศาลจะมีคำสั่งให้ไต่สวนต่อไปหรือไม่ เมื่อถามว่าทีมทนายเตรียมคำชี้แจงประเด็นใดไว้บ้าง นายวิญญัติกล่าวว่า ยังบอกประเด็นไม่ได้ เพราะเรายังไม่เห็นคำร้องที่ศาลส่งมา แต่เราเตรียมหลักฐานและเหตุผลการเข้าไปในเรือนจำ รวมถึงข้อมูลว่าที่ผ่านมานายทักษิณมีอาการอย่างไร รักษาตัวอย่างไร และถูกปฏิบัติอย่างไร เราไม่ทราบว่าศาลจะให้แก้ข้อกล่าวหาในจุดไหน จึงต้องรอดูคำร้องก่อน
มั่นใจแจงได้ยันนายใหญ่ไม่กังวล
เมื่อถามว่าทีมทนายมั่นใจในการชี้แจงหรือไม่ นายวิญญัติกล่าวว่า เรามั่นใจอยู่แล้ว เนื่องจากมีความเป็นจริงเรื่องการถูกจำคุก ได้รับหมายจำคุกและถูกส่งตัวไปที่เรือนจำจริง ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น ถือว่าเป็นเหตุแทรกซ้อนเข้ามา เพราะนายทักษิณเคยมีการรักษาอาการทางปอดและความดันมาก่อนอยู่แล้ว อาการจึงเกิดขึ้นจริง จนมีความเห็นจากแพทย์ของ รพ.ราชทัณฑ์ และมีการส่งตัวตามปกติ ฉะนั้นมั่นใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริง เมื่อถามว่านายทักษิณกังวลเรื่องที่ศาลตั้งคณะไต่สวนหรือไม่ นายวิญญัติกล่าวว่า ไม่กังวล เราอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง และสิทธิของผู้ต้องขังตามกฎหมาย รวมถึงกฎระเบียบของราชทัณฑ์ คิดว่าทำถูกทุกอย่าง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำตามหลักเกณฑ์ เมื่อถามว่าวันที่ 13 มิ.ย.นายทักษิณจะเดินทางไปศาลด้วยตัวเองหรือไม่ นายวิญญัติกล่าวว่า ยังไม่ไป จะเป็นการส่งคำชี้แจงไปก่อน
“อนุทิน” เชื่อไร้แรงกระเพื่อมการเมือง
เมื่อเวลา 14.00 น.โรงแรมเซ็นทารา ไลฟ์ ศูนย์ราชการและคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและรมว.มหาดไทย เป็นประธานมอบนโยบายและสัมมนาตามโครงการเร่งรัดดำเนินงานแก้ไขปัญหาสถานะบุคคลให้แก่บุคคลที่อพยพเข้ามาอยู่ในไทยเป็นเวลานาน ตามมติ ครม. 29 ต.ค.67 จำนวน 4 แสนคน จากนั้นนายอนุทินให้สัมภาษณ์ถึง กรณีศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดไต่สวนคดีชั้น 14 ของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ อาจเกิดแรงกระเพื่อมทางการเมืองว่า แรงกระเพื่อมต่างๆเราต้องยึดที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ ที่เป็นหัวหน้ารัฐบาลเป็นหลัก ทุกอย่างขึ้นอยู่กับนายกฯ เมื่อท่านระบุว่าไม่มีอะไรก็ต้องเชื่อท่าน เมื่อถามว่าได้ให้กำลังใจนายทักษิณอย่างไร นายอนุทินตอบว่า ให้กำลังใจตลอดเวลาอยู่แล้ว อยากให้ทุกคนไม่มีเรื่องอะไรที่กลุ้มใจหรือปวดหัว อยากให้ทุกคนมีความสุข มีกำลังใจทำงานให้บ้านเมือง เมื่อถามถึงแนวคิดตั้งกรมกิจการคนเข้าเมือง โดยดึงตำรวจตรวจคนเข้าเมืองมาสังกัดกระทรวงมหาดไทย นายอนุทินตอบว่า ยังอยู่ระหว่างศึกษาภาพรวม ยังอีกยาวไกล เกิดขึ้นหรือไม่อยู่ที่ ครม.
“โรม” หวังพึ่งศาลสร้างความกระจ่าง
ด้านนายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) กล่าวว่า ส่วนตัวมองประเทศอย่างไม่สบายใจ เห็นภาพประธานสภาฯ เจอกับประธาน ป.ป.ช. ฝ่ายค้านส่งเรื่องให้ประธานสภาฯตรวจสอบประธาน ป.ป.ช.มานานแล้ว แต่ไม่เห็นความคืบหน้า จะส่งเรื่องนี้เมื่อใด ไปให้ประธานศาลฎีกาตั้งคณะกรรมการไต่สวน วันนี้องค์กรต่างๆแทบไม่สามารถเชื่อมั่นได้เลยว่าจะจัดการคดีชั้น 14 ดังนั้นการตั้งคณะกรรมการไต่สวนกรณีชั้น 14 จำเป็นอย่างยิ่ง บ้านเมืองกำลังถูกกัดกร่อนทำลายจากความอยุติธรรม ที่ช่วยเหลือพ่อ เพื่อน พวกพ้อง ศาลมีดาบในมือเข้มแข็งที่สุดกว่าทุกองค์กร ถ้าใครไม่ปฏิบัติตามศาล มีโทษจำคุกค้ำอยู่ ค่อนข้างมั่นใจว่าหน่วยงานต่างๆต้องให้ความร่วมมือมากขึ้น แต่ต้องกลับไปถามนายกฯ และองค์กรที่เกี่ยวข้องว่า ถ้ามั่นใจชั้น 14 ทำถูกต้อง โปร่งใส เหตุใดไม่ให้ความร่วมมือ ทั้งแพทยสภา ป.ป.ช. สภาฯ ประสบปัญหา ศาลจึงเป็นที่พึ่ง หวังสร้างความกระจ่างเรื่องนี้
นายกฯเน้นสื่อสาร ปชช.ป้องกันโรค
เมื่อเวลา 09.30 น. ที่ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ เป็นประธานเปิดโครงการบริการทุกช่วงวัย ด้วยความห่วงใยจากกระทรวงสาธารณสุข “30 บาท รักษาทุกที่ อสม.มั่นคง สาธารณสุขเข้มแข็ง เพื่อคนไทยห่างไกล NCDs”เขตสุขภาพที่ 4 ประจำปีงบฯ 2568 มีนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข นายสวรงค์ เทียนทอง รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา นายเดชอิศม์ ขาวทอง รมช.สาธารณสุข น.ส.มนพร เจริญศรี รมช.คมนาคม คณะผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขและ อสม.เข้าร่วมกว่า 10,000 คน
นายกฯกล่าวเปิดงานตอนหนึ่งว่า ร่างกายเหมือนกับบ้านของเรา ถ้าสะอาดปลอดภัย เราจะมีแรง มีศักยภาพในการทำงาน รัฐบาลอยากให้คนไทยทุกคนแข็งแรง ที่ผ่านมาโรค NCDs หรือโรคที่ไม่ติดต่อเรื้อรังจำนวนมาก แต่จากการดำเนินการของสาธารณสุขทำให้ตัวเลขน้อยลง คนไทยรู้จักวิธีการรักษาสุขภาพตัวเองดีมากขึ้น ที่สำคัญต้องทำให้ประชาชนเข้าถึงบริการสาธารณสุขได้ง่าย หลายจังหวัดส่งยาถึงที่ มีเทเลเมดิซีน (การแพทย์ทางไกล) ขอเน้นย้ำเรื่องการสื่อสารถึงการปฏิบัติตัวให้พ้นจากการเริ่มเป็นโรคตั้งแต่แรก ขอขอบคุณเจ้าหน้าที่สาธารณสุข และ อสม.ด่านหน้าให้รัฐบาลได้ติดต่อกับประชาชนให้เข้าใจ จากนั้นนายกฯถ่ายภาพร่วมกับผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ถ่ายภาพกับ อสม. ก่อนเยี่ยมชมนิทรรศการภายในงาน และมอบเครื่องช่วยฟังให้ผู้สูงอายุ
ถกบอร์ดเอไอมุ่งก้าวไกลทันโลก
จากนั้นเวลา 14.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.แพทองธารเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (National AI Committee) หรือบอร์ดเอไอแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2568 มีนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกฯ และ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ และนายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด กรรมการฯเข้าร่วม โดย น.ส.แพทองธารกล่าวเปิดประชุมตอนหนึ่งว่า โลกเราเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ที่ผ่านมาประเทศไทยเจอความท้าทายมากมาย ตัวเลขการเติบโตเวลา 10 ปีที่ผ่านมาถือว่าประเทศไทยเติบโตค่อนข้างล่าช้า การมีเอไอ เรื่องเทคโนโลยีเป็นสิ่งสำคัญ เรารอไม่ได้ต้องพัฒนาและดำเนินการต่อให้ประเทศไทยก้าวไปอย่างมีศักยภาพเพียงพอที่จะแข่งขันกับทั่วโลก เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนและการพัฒนาด้านเอไอของประเทศ เราจึงแต่งตั้งคณะบอร์ดเอไอแห่งชาติ ทำหน้าที่กำกับทิศทางการพัฒนาเอไอด้านต่างๆ เชื่อว่าเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการขับเคลื่อนให้ประเทศไทยในเรื่องนี้อย่างเข้มแข็งและมียุทธศาสตร์มากยิ่งขึ้น
ลงนามอาลัย “สันตะปาปาฟรานซิส”
ต่อมาเวลา 16.00 น.น.ส.แพทองธาร เดินทางไปที่สถานเอกอัครสมณทูตนครรัฐวาติกันประจำประเทศไทย ถนนสาทรใต้ เขตสาทร กรุงเทพฯ เพื่อลงนามไว้อาลัยสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส (His Holiness Pope Francis) ประมุขแห่งศาสนานิกายโรมันคาทอลิกและนครรัฐวาติกัน ที่สิ้นพระชนม์ไปก่อนหน้านี้ โดยตลอดทั้งวัน นายกฯไม่ได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน
กมธ.แฉเล่ห์ไม่ตั้ง กก.วินิจฉัยภาษี “อิ๊งค์”
เมื่อเวลา 09.30 น. ที่รัฐสภา มีการประชุมคณะกรรมาธิการพัฒนาการเศรษฐกิจ สภาฯ มีนายสิทธิพล วิบูลย์ธนากุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรค ปชน. ประธาน กมธ.ทำหน้าที่ประธานที่ประชุม เชิญนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรค ปชน. มาให้ข้อมูลในฐานะเป็นผู้ยื่นเรื่องให้ตรวจสอบการร้องเรียนการซื้อขายหุ้นโดยใช้ตั๋วสัญญาใช้เงินหรือตั๋ว PN มูลค่า 4,434 ล้านบาทของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ ที่ถูกมองมีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษี และเชิญนายปิ่นสาย สุรัสวดี อธิบดีกรมสรรพากร ตัวแทนสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.)มาให้ข้อมูล ภายหลังการประชุมนายวิโรจน์กล่าวว่า นายปิ่นสายไม่ได้ร่วมประชุม แต่ส่ง ผอ.กองตรวจสอบภาษีกลางมาชี้แจงแทน ประเด็นน่าสนใจคือการส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรพิจารณากรณี น.ส.แพทองธารใช้ตั๋ว PN ชำระค่าหุ้น 4,434 ล้านบาท แก่บุคคลในครอบครัว พบข้อมูลน่าตกใจคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรยังมีองค์คณะไม่ครบ ขาดผู้ทรงคุณวุฒิ 3 คน ที่ต้องแต่งตั้งโดยนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯและ รมว.คลัง หากคณะกรรมการชุดนี้ไม่ครบจะวินิจฉัยกรณี น.ส.แพทองธารไม่ได้ ประธาน กมธ.จะทำหนังสือถึงนายพิชัย เร่งแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิให้ครบองค์คณะ พร้อมขอทราบระยะเวลาแต่งตั้ง ถ้าเตะถ่วงไม่ตั้งผู้ทรงคุณวุฒิ 3 คน นายพิชัยจะเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ได้
ขู่ยื่น ป.ป.ช.เช็กบิลใครดึงเรื่องช่วยเหลือ
นายวิโรจน์กล่าวว่า ได้สอบถามกรมสรรพากรกรณีหากประชาชนจะใช้ตั๋ว PN มาทำธุรกรรมลักษณะเดียวกับ น.ส.แพทองธารแทนการเสียภาษีการรับให้ ไม่ได้รับคำตอบจาก ผอ.กองตรวจสอบภาษีกลาง ระบุว่าการตรวจสอบกรณี น.ส.แพทองธารอยู่ระหว่างรวบรวมข้อเท็จจริง ไม่มีคำตอบจะแล้วเสร็จเมื่อใด ส่วนตัวแทน สตง.ให้ข้อมูลว่า ไม่มีอำนาจตรวจสอบบุคคล เป็นเรื่องเข้าใจได้ สตง.มีหน้าที่ตรวจการใช้จ่าย การจัดเก็บรายได้ แต่กรณีตั๋ว PN ไม่มีระเบียบชัดเจนว่าทำได้จริง หรือเป็นเพียงรูปแบบที่ใช้เป็นนิติกรรมอำพราง กรณีตั๋ว PN นายกฯอาจบอกว่าเป็นการวางแผนภาษี แต่ถ้าประชาชนคนอื่นทำรูปแบบเดียวกัน กรมสรรพากรต้องให้สิทธิทำได้ ไม่ใช่ไล่บี้คนอื่น แต่นายกฯกลับเพิกเฉย จากนี้ กมธ.จะทำหนังสือ 3 ฉบับคือ 1.หนังสือถึงนายพิชัยให้ใช้แต่งตั้งคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรให้ครบองค์คณะ หากไม่ทำจะนำไปสู่การละเว้นการปฎิบัติหน้าที่ร้องต่อ ป.ป.ช.ได้ 2.หนังสือถึงอธิบดีกรมสรรพากร ถามกรอบเวลารวบรวมข้อเท็จจริงกรณีนายกฯจะส่งให้คณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรเมื่อใด 3.ทำหนังสือถึงผู้ว่าการ สตง.ให้ใช้อำนาจทางกฎหมาย เพราะปัจจุบันกรมสรรพากรไม่มีระเบียบการทำงานเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษี กรณีการใช้ตั๋วสัญญาใช้เงิน หากปล่อยเช่นนี้จะเกิดความเสียหายต่อการจัดเก็บภาษี กรณีการตรวจสอบ น.ส.แพทองธาร หากฝ่ายที่เกี่ยวข้องประวิงเวลาหรือปกป้อง อาจถูกร้องเรียนต่อ ป.ป.ช.ต่อไป
อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่