สงครามการค้าสหรัฐฯส่อยืดเยื้อแน่นอน แม้ไทยจะยังไม่มีโอกาสได้เจรจากับผู้แทนการค้าสหรัฐฯ แต่การให้สัมภาษณ์ นิตยสารไทม์ ของทรัมป์ ในโอกาสครบ 100 วันแรกในตำแหน่งประธานาธิบดี เขายืนยันว่าจะเรียกเก็บภาษีศุลกากรจากประเทศคู่ค้า 20-50% ภายใน 1 ปีต่อจากนี้ แม้จะมีการพบปะเจรจากันแล้วก็ตาม เขาจะเป็นผู้กำหนดข้อตกลงเอง เหมือนเป็นห้างสรรพสินค้าที่เป็นผู้กำหนดราคา การเจรจาหรือไม่เจรจามีค่าเท่ากัน การรอคิวเจรจากับสหรัฐฯในวันนี้ จึงไม่สำคัญเท่าการพยุงเศรษฐกิจในประเทศ เพื่อให้คนไทย 65 ล้านคน มีงานทำมีเงินใช้อย่างมีศักดิ์ศรี โดยไม่ต้องไปจูบก้นทรัมป์
นายกฯแพทองธาร ชินวัตร จะต้อง ประกาศท่าทีนโยบายของรัฐบาลต่อจากไปนี้ให้ชัดเจน จะเดินหน้ากันอย่างไร เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับเอกชนและประชาชนในประเทศ จะเดินหนีคำถามนักข่าวไปวันๆอย่างนี้ไม่ได้ นักการเมืองมาแล้วก็ไป แต่ประเทศชาติต้องอยู่
ไอเอ็มเอฟ เพิ่งออกรายงานเศรษฐกิจ “กลุ่มประเทศอาเซียน 5” ซึ่งประกอบด้วย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และ ไทย ว่า ปี 2568 จะมีการเติบโต 4.0% ปี 2569 จะมีการเติบโต 3.9% ลดลงจากคาดการณ์เดิม 4.6% และ 4.5% ซึ่งก็ยังสูง และ ปรับลดการเติบโตของประเทศไทยปี 2568 เหลือ 1.8% ปี 2569 เหลือ 1.6% ตํ่าเตี้ยมากจากคาดการณ์เดิม 2.9% และ 2% ทำให้ไทยเป็นประเทศเดียวในกลุ่มอาเซียน 5 ที่เติบโตตํ่ากว่า 2% ทั้งที่ไทยมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ในอาเซียน รองจากอินโดนีเซีย
ตัวเลขนี้สะท้อนถึง ความล้มเหลวของรัฐบาลแพทองธาร ในการบริหารประเทศ ซึ่งเป็นความล้มเหลวที่ พรรคเพื่อไทย ต้องรับผิดชอบ โดยเฉพาะ คุณทักษิณ ชินวัตร นายใหญ่พรรคเพื่อไทย ที่ผลักดันให้ลูกสาว คุณแพทองธาร ชินวัตร ขึ้นเป็นนายกฯโดยไม่มีประสบการณ์
...
ผมเห็นด้วยกับ คุณพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯและรัฐมนตรีคลัง ที่กำลังคิดจะหาเงินกู้มาเพิ่มเติมอีก 500,000 ล้านบาท เพื่อเตรียมกระสุนเอาไว้รองรับผลกระทบทางเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นในปลายปีนี้ และปีหน้า และผมก็เห็นด้วยกับ คุณศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคประชาชนที่เสนอว่า หากรัฐบาลจะกู้เงินก้อนนี้จริง รัฐบาลต้องประกาศแผนให้ชัดเจนว่า จะกู้เงินไปทำอะไรบ้าง จะกู้มากระตุ้นการบริโภคหรือการลงทุน หากเลือกวิธีการกระตุ้นผิด ผลก็จะไม่เกิด เช่น กรณีแจกเงินหมื่นบาทครั้งแรก 145,000 ล้านบาท ไม่ได้ทำให้จีดีพีโตขึ้น เราไม่สามารถเชื่อใจรัฐบาลได้ว่า กู้มาแล้วจะไม่นำเงินไปแจกหาเสียงอีก แต่ถ้ากู้มาเพื่อใช้ปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจก็เชียร์เต็มที่
คุณศิริกัญญา ยังเรียกร้องให้รัฐบาลนำ ร่างงบประมาณปี 2569 วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท ที่กำลังจะเข้าสภา มาจัดสรรใหม่ แก้ไขปรับปรุงให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ถ้าสามารถจัดสรรงบปี 2569 ประมาณ 300,000 ล้านบาทไปช่วยพยุงเศรษฐกิจได้ ก็ไม่จำเป็นต้องกู้ (งบปี 2569 ก็ต้องกู้กว่า 8.6 แสนล้านบาทมาโปะงบขาดดุลอยู่แล้ว) ก็เป็นข้อเสนอที่ดีที่ฝ่ายรัฐบาลควรรับฟัง ไม่ใช่เอะอะก็กู้เงินสร้างหนี้ให้ประเทศอย่างเดียว
คุณลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง ได้แจกแจงถึงฐานะการเงินของรัฐบาลในปัจจุบันว่า ยังมีเงินพอที่จะนำไปใช้พยุงเศรษฐกิจได้โดยไม่ต้องกู้ แค่เกลี่ยงบประมาณเท่านั้น เช่น งบปี 2568 ก็ยังเหลือเงินกระตุ้นเศรษฐกิจอีก 150,000 ล้านบาท (แทนที่จะเอาไปแจกคนละหมื่นหาเสียงก็เอาไปใช้พยุงเศรษฐกิจแทน) รวมทั้ง ให้สถาบันการเงินของรัฐปล่อยสินเชื่อเพิ่มเติมเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ฯลฯ
จะเห็นว่า ประเทศไทยยังมีทางเลือกอีกมาก ถ้ารัฐบาลใช้คนดีมีฝีมือทำงานเป็น
ถ้าพรรคเพื่อไทยจะ “ปรับ ครม.” จริงก็ให้ปรับ “รัฐมนตรีโง่ๆ ทำงานไม่เป็น รัฐมนตรีที่ชอบทุจริตคอร์รัปชันเป็นนิสัย” ออกไปให้หมด ผมเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยอาจฟื้นตัวเติบโตเกิน 2% สวนคาดการณ์ไอเอ็มเอฟก็ได้ ประเทศไทยจะได้เจริญจริงๆเสียที.
“ลม เปลี่ยนทิศ”
คลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม