นายกฯแพทองธาร ชินวัตร เพิ่งเป็นสักขีการลงนาม “ข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทย-ภูฏาน” ที่ทำเนียบรัฐบาล 3 เม.ย. ปี 2567 ไทยมีการค้ากับภูฏาน 460.47 ล้านบาท ส่งออก 457 ล้านบาท นำเข้า 3.47 ล้านบาท เป็นตลาดที่เล็กมาก แต่ได้เพื่อนก็ไม่เป็นไร แต่เรื่องใหญ่มากที่ ประธานาธิบดีทรัมป์ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าจากทุกประเทศทั่วโลกที่ได้เปรียบด้านภาษีนำเข้ากับสหรัฐฯ แน่นอนว่าประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในประเทศที่จะโดนสหรัฐฯขึ้นภาษีนำเข้าด้วย สหรัฐฯเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทย แต่นายกฯแพทองธารกลับให้ความสนใจน้อยจนไม่น่าเชื่อ เธอตั้ง คุณวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เป็น ประธานคณะทำงานนโยบายเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา แล้วจะไปสั่งรัฐมนตรีได้ยังไงเหตุผลที่ตั้ง ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เป็น หัวหน้าทีมรับมือการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ จะเป็นเพราะ นายกรัฐมนตรี ไม่สามารถจะรับมือเรื่องนี้เองได้ และ รัฐมนตรีพาณิชย์ก็ไม่มีศักยภาพเพียงพอ ก็ไม่อาจทราบได้ปี 2567 ไทยมีการค้ากับสหรัฐฯ 74,484.8 ล้านดอลลาร์ ประมาณ 2.53 ล้านล้านบาท ไทยส่งออกไปสหรัฐฯ 54,956.2 ล้านดอลลาร์ ประมาณ 1.86 ล้านล้านบาท นำเข้าจากสหรัฐฯ 19,528.6 ล้านดอลลาร์ ประมาณ 664,000 ล้านบาท ไทยได้เปรียบดุลการค้าสหรัฐฯกว่า 35,000 ล้านดอลลาร์ ประมาณ 1.2 ล้านล้านบาท สูงเป็นอันดับที่ 11 รศ.ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ฟันธงว่า ไทยมีความเสี่ยงสูงที่จะถูกสหรัฐฯขึ้นภาษีตอบโต้ ปีที่ผ่านมานอกจากไทยจะเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ไทยยังไม่ได้อำนวยความสะดวกให้กับการเปิดตลาดสินค้าและบริการสหรัฐฯอย่างเต็มที่ เกรงจะกระทบผู้ประกอบการ เกษตรกร และผู้บริโภคในประเทศแต่ไทยกลับปล่อยให้ สินค้าจีนราคาถูกเข้ามาถล่มตลาดไทยอย่างเสรี จนผู้ผลิตไทยเจ๊งกันเป็นใบไม้ร่วง รถยนต์ไฟฟ้าราคาถูกที่เหลือจากจีน ก็ถูกส่งเข้ามา ทำลายตลาดรถยนต์ไทยจนพังพินาศ แถม รัฐบาลยังเอาภาษีประชาชนไปสนับสนุนรถไฟฟ้าจีนอีกคันละ 150,000 บาท เรื่องนี้คนไทยรู้ สหรัฐฯก็รู้ รวมทั้ง การส่งเสริมบีโอไอ (ยกเว้นภาษี) ให้บริษัทจีนเข้ามาตั้งโรงงานผลิตสินค้าคุณภาพต่ำมากมาย เช่น โรงงานเหล็ก ซิน เคอ หยวน ที่เป็นข่าวประธานาธิบดีทรัมป์ ประกาศจะขึ้นภาษีนำเข้าประเทศที่ได้เปรียบดุลการค้าสหรัฐฯมาตั้งแต่ก่อนเข้ารับตำแหน่ง 20 มกราคม จนถึงวันนี้ผมยังไม่ได้ยินข่าวว่า นายกฯแพทองธาร ชินวัตร มี แผนจะไปเจรจากับผู้นำสหรัฐฯด้วยตัวเอง หรือส่ง รัฐมนตรีพาณิชย์ รัฐมนตรีต่างประเทศ หรือ ผู้แทนการค้าไทย ไปหาช่องทางเจรจากับทางสหรัฐฯเหมือนกับหลายประเทศที่ทำกัน ทั้ง ประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี เดินทางไปเจรจากับ ประธานาธิบดีทรัมป์ ด้วยตัวเอง แม้แต่การเจรจา “เขตการค้าเสรีไทยกับสหภาพยุโรป” เพื่อหาตลาดใหม่ทดแทนตลาดสหรัฐฯ ก็ไม่มีความคืบหน้า เจรจาได้แต่ประเทศเล็กอย่างภูฏานที่มีมูลค่าการค้าเพียง 460 ล้านบาทผมเห็นด้วยกับ คุณเกรียงไกร เธียรนุกูล ประธานสภาอุตสาหกรรม ว่า ภาครัฐและเอกชน ต้องเร่ง “หาตลาดใหม่” มาชดเชยตลาดสหรัฐฯที่มีความเสี่ยง ดังตัวอย่าง ประเทศจีน ที่เคยพึ่งพาการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯเป็นอันดับ 1 คิดเป็นสัดส่วน 20% ของการส่งออก ปัจจุบันจีนหาตลาดใหม่โดยมีอาเซียนเป็นคู่ค้าอันดับ 1 รวมทั้ง ตลาดอเมริกากลาง ยุโรป เอเชียตะวันออกกลาง ฯลฯ ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนการส่งออกของจีนมากกว่า 50%ผมคิดว่า นายกฯแพทองธาร ต้องกล้าๆลุกขึ้นมาเป็น “ผู้นำ” รับมือกับวิกฤติการค้าครั้งนี้ มูลค่าส่งออกไปสหรัฐฯมีสัดส่วนสูงถึง 20% ของการส่งออก ที่เห็นชัดๆคือ รถยนต์ และชิ้นส่วนถูกขึ้นภาษีนำเข้า 25% แน่นอน ปี 2567 ไทยส่งออกรถยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ไปสหรัฐฯประมาณ 2 แสนล้านบาท จะนั่งสั่งอย่างเดียวคงไม่ได้แล้ว.ลม เปลี่ยนทิศคลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม