หมดโปรอากาศหนาว ประกาศกรมอุตุนิยมวิทยาประเทศไทยเข้าสู่ฤดูร้อนอย่างเป็นทางการ นับตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 เป็นต้นไปคาดการณ์อุณหภูมิสูงสุดแตะ 43 องศาเซลเซียสแต่ที่ซีเรียสร้อนปาดหน้าอากาศทะลุปรอทมาเลย ตามเรดาร์ส่อง “เที่ยวบินลับ” กรุงเทพฯปลายทางเขตปกครองตนเอง มณฑลซินเจียง ภารกิจขนผู้อพยพชาวมุสลิม “อุยกูร์” ส่งกลับสาธารณรัฐประชาชนจีนกลายเป็นชนวนระอุเดือด ส่อลุกลามการเมืองระดับโลกสัญญาณตึงเครียดสะท้อนผ่าน “มาร์โก รูบิโอ” รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐอเมริกา โพสต์เอ็กซ์อย่างเป็นทางการ “ขอประณามอย่างสูงสุด” ต่อกระบวนการเนรเทศผู้ลี้ภัย “อุยกูร์” จากประเทศไทยกลับจีนแผ่นดินใหญ่ เป็นการขัดต่อพันธกรณีระหว่างประเทศซัดรัฐบาลไทยสุ่มเสี่ยงละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรงพี่เบิ้มสหรัฐฯนำทีม แสดงท่าทีของชาติตะวันตกหักมุมกับนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ที่นำทีมฝ่ายความมั่นคงแถลงด่วน ประสานเสียงกับรัฐบาลปักกิ่ง ยืนยันปฏิบัติการเนรเทศชาวอุยกูร์เป็นไปตามหลักสากลไทยถูกจับมัดรวมกับจีนแผ่นดินใหญ่แบบดิ้นไม่ออกตามรูปการณ์หนีไม่พ้น “ผลกระทบ” ตามมาแน่ แบบที่ผู้เชี่ยวชาญด้านต่างประเทศเป็นห่วงรัฐบาลไทยนำประเทศและประชาชนเข้าโซนเสี่ยง ต้องระวังปฏิกิริยาตอบโต้รุนแรงจากฝ่ายต่อต้านการเนรเทศมุสลิมอุยกูร์ไปให้จีนแบบที่เจอมาแล้ว เหตุระเบิดศาลพระพรหมแยกราชประสงค์โจทย์บังคับแทบไม่มีพื้นที่ยืนตรงกลาง สภาพเนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง แต่ต้องแบก “กระดูกแขวนคอหนักๆ” จากการแสดงท่าทีของรัฐบาลสหรัฐฯ นำทีมชาติตะวันตก พร้อมแปรเป็นแรงกระแทกทางเศรษฐกิจเข้าทางปืน “คาวบอย” จังหวะ “โดนัลด์ ทรัมป์” ผู้นำมะกันที่จ้องหาเรื่องทุบไทยสุ่มเสี่ยงถูก “แบน” มาตรการตอบโต้ทางการค้าเป็นการลงโทษ จังหวะเพิ่มแรงกดทับเศรษฐกิจในประเทศที่หนักหนาสาหัสอยู่แล้ว ยิ่งเหนื่อยหนักไปกันใหญ่ ประชาชนตาดำๆต้องแบกรับความเสี่ยงโดยทั่วกัน“อุยกูร์” กับ “เงินในกระเป๋ากู” ไฟร้อนลามสุมกันสถานการณ์ซีเรียสของชาวบ้านหาเช้ากินค่ำที่กำลังเผชิญปัญหาชักหน้าไม่ถึงหลัง ตกงาน ค้าขายซบเซา สภาพปากท้องลำบากขึ้นทุกขณะไม่ใช่แค่ระดับสภากาแฟ เสียงสะท้อนจากพ่อค้า แม่ขายที่บ่นดังๆกลางตลาดสดเท่านั้น กับสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจที่ “ดิ่งเหวลึก” มืดสนิทจนแทบมองไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ณ ชั่วโมงที่เซียนตลาดเงินตลาดทุนต้อง “เซอร์ไพรส์” กันยกใหญ่เมื่อที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งที่ 1/2568 มีมติ 6 ต่อ 1 เสียง ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ร้อยละ 0.25 จากร้อยละ 2.25 เป็นร้อยละ 2.00 ต่อปี โดยให้มีผลทันทีหักปากกานักวิเคราะห์ แม้แต่ “โพลรอยเตอร์” ยังหน้าแตกตามถ้อยแถลงผ่านนายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล เลขานุการ กนง. ระบุชัด กนง.เสียงส่วนใหญ่มองเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้ร้อยละ 2.9 จากสารพัดปัจจัยลบทั้งปัญหาโครงสร้างภาคอุตสาหกรรม สงครามการค้าในจุดที่มาตรการกระตุ้นของรัฐบาล “เอาไม่อยู่”ภาษาสุภาพทางการแบบคนของแบงก์ชาติก็อ้อมแอ้มๆ นิ่มๆ กนง.ให้น้ำหนักด้านการขยายตัวทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น แต่ภาษาพาดหัวข่าวหน้าเศรษฐกิจส่วนใหญ่ให้อารมณ์แบบไทบ้าน เข้าใจง่าย“กนง.ตะลึงเศรษฐกิจไทยดิ่งหนัก”และนั่นก็ตามหลังธนาคารโลก หรือ “เวิลด์แบงก์” กองทุน การเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ต่างประเมินจีดีพีไทย ต่ำเตี้ย อยู่ปลายแถวอาเซียนตัวเลขเรียลไทม์ ตลาดหุ้นไทยดิ่งสุดเบอร์ต้นๆของโลกสภาพต้องยิง “กระสุนนัดสุดท้าย” ในรังเพลิง ใช้มาตรการ ทางการเงินในการลดดอกเบี้ยประคองเศรษฐกิจ หลังนโยบายการคลัง คิวเทกระจาด “เงินหมื่น” ของรัฐบาลเพื่อไทย ไร้ผล งบ 1.5 แสนล้านบาท ไม่มีแรงกระตุกเครื่องยนต์ เหมือนก้อนหินโยนลงแม่น้ำเจ้าพระยา หายต๋อมต้องยอมรับตามสภาพ ไม่อาจเถียงสถานการณ์ตรงหน้า ตลาดหุ้นหลุดแนวรับเป็นประวัติการณ์ ตัวเลขมาตรฐานจากองค์กรหลักๆ สะท้อนภาพรวมเศรษฐกิจไทยหนักหนาสาหัส เข้าขั้นไอซียูเทียบผลประกอบการบริษัทจำกัดมันคือตัวชี้วัด “ฝีมือผู้บริหาร”สถานการณ์เศรษฐกิจดิ่งเหวลากไม่ขึ้น มันหนีไม่พ้นโยงความรับผิดชอบรัฐบาล “ยี่ห้อทักษิณ” ที่เคลมตีกินฟอร์มเก่งในการบริหารปากท้องสัญญาฟื้นคืนความกินดีอยู่ดี แลกกับการพลิกขั้วคุมรัฐบาลสูตรพิสดารโดยสถานะ “โดนล่อเป้า” บทหนักตกอยู่ที่ลูกสาว “นายกฯอิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ผู้นำคนสุดท้องตระกูลชินโดนลากขึ้นเขียงเชือดโชว์แบบเดี่ยวๆ ข้อหา “บริหารบ้านเมืองผิดพลาด ล้มเหลวร้ายแรง” ตามสำนวนของพรรคร่วมฝ่ายค้าน นำโดย “กุมารเท้ง” นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้าน หัวหน้าพรรคประชาชน นำคณะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ตามมาตรา 151ขออภิปราย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ แต่เพียงผู้เดียวตั้งข้อกล่าวหาจากพฤติการณ์ ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ เอาเปรียบประชาชน เอาเปรียบสังคม โกหกหลอกลวง ไม่ทำตามนโยบายที่ให้สัญญาไว้กับประชาชน เป็นนั่งร้านช่วยเหลือต่างตอบแทนกลุ่มบุคคลที่เป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตย ระบบรัฐสภา ทำลายนิติรัฐสมัครใจยินยอมให้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ผู้เป็นบิดา ชี้นำชักใยให้กระทำการหรืองดเว้นกระทำการอันเป็นเรื่องสำคัญของบ้านเมืองประพฤติตนเป็นเสมือน “หุ่นเชิด” โดยมีบิดาเป็นนายกฯตัวจริงจัดหนักซัดเต็มข้อ ล่อเป้าเน้นๆ กองทัพส้ม ค่ายประชาชน ปักธงไล่ทุบไล่ขย่ม “ผู้นำหญิง” แบบไม่มี กั๊กไม่สนไมตรีอดีตแนวร่วมประชาธิปไตยเสรีนิยม ถล่มลูกสาว เขย่าไปถึงพ่อที่เป็นเป้าซ้อนเบื้องหลัง แค่แปลกใจ แต่ไม่ถึงขั้นเซอร์ไพรส์ จากกระแสก่อนหน้าที่โพยหลุดออกมา ฝ่ายค้านล็อกคิวเชือด 10 รัฐมนตรี แต่พลิกโผมาจบที่ล่อเป้าเดี่ยว “แพทองธาร”สถานการณ์ฟ้องสภาพ “ไม่นิ่ง” ของทีมเชือดกระแสระแวง “เกลือเป็นหนอน” ป้อนข้อมูลรัฐบาล หรือแม้แต่มุมของมือสังหารค่ายประชาชน ที่ต้องสาละวนกับการแก้ต่างคดีจริยธรรมปมแก้ ม.112 ที่ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จำเพาะเจาะจงเรียกตัวในห้วงเข้าด้ายเข้าเข็ม ป่วนสมาธิในจังหวะทำศึกไม่ไว้วางใจเด็กรุ่นใหม่ เขี้ยวไม่ลากดินพอจะนิ่งสู้เกมเจาะยางแต่อีกมุมในทางกลับกัน มันก็สะท้อนฟันน้ำนมแหลมๆของขุนพลกองทัพส้มที่สั่งสมประสบการณ์มาจนเก๋าพอจะประมือกับเกมอำนาจเหล่าผู้เฒ่าหลอกล่อพรางเป้า เดาทางไม่ถูกตามเหลี่ยมล็อกคิวนายกฯคนเดียว ฝ่ายค้านก็สามารถแตะได้ทุกองคาพยพ อภิปรายไล่ตีลูกระนาดได้ทุกกระทรวง แฉลบได้ทุกพรรคร่วมรัฐบาล ไม่เว้นแม้แต่การโฉบไปเขย่าชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจตามสภาพบังคับการเมืองแบบไทยๆ พรรคประชาชนไม่ต้องเล็งผลเขย่าพรรคร่วมรัฐบาล ในเมื่อสถานการณ์ที่ผู้คนในสังคมรู้ดี มองทะลุตั้งแต่ศึก “รังเซราะ กราวเขากระโดง-ธรณีสงฆ์อัลไพน์-แรนโช ชาญวีร์ เขาใหญ่” มาจนถึง “โพยฮั้ว” เดิมพันล้มกระดาน “สว.สายน้ำเงิน”รอยร้าวมองเห็นชัดในระยะไกล จากบุรีรัมย์ถึง “จันทร์ส่องหล้า” แต่อย่างไรเสีย “วงเพื่อนกิน” ก็ต้องลากกระเตงตบจูบกันไปอยู่ดี สถานการณ์พรรคประชาชนเล็งผลระยะยาว เป้าหมายอยู่ที่ศึกเลือกตั้งรอบต่อไป เดิมพัน 2 ขั้ว “เสรีนิยม” กับ “ขบวนโหนอำนาจอนุรักษ์นิยม” ต้องล็อกเป้าถล่ม “อิ๊งค์” กระแทกจุดอ่อนไหวสุดของ “นายใหญ่” เกมยุทธ์ “ทุบกล่องดวงใจ” เน้นจุดตาย “ทศกัณฐ์”.“ทีมการเมือง”คลิกอ่านคอลัมน์ “วิเคราะห์การเมือง” เพิ่มเติม