หลังจากเปิดเกมทุบหม้อข้าวจน "ผึ้ง" แตกกระเจิงไปคนละทิศละทางถือว่าได้ผลในการตัดสินใจของรัฐบาลไทยที่ตัดไฟ ตัดน้ำมันและอินเตอร์เน็ต พื้นที่เมียนมาตรงกันข้ามกับประเทศไทย บริเวณชายแดนที่ชนกลุ่มน้อยมีอิทธิพลอยู่เพราะนอกจากศูนย์ปฏิบัติการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ไม่สามารถทำงานต่อไป

จึงต้องอพยพข้ามฝั่งจากตะวันตกไปด้านตะวันออกที่ปอยเปตประเทศกัมพูชา

ที่รัฐบาลไทยกำลังเริ่มมาตรการที่จะจัดการรังใหญ่อีกแห่งหนึ่งด้วยมาตรการที่ไม่ต่างกันนัก เพียงแต่ต้องใช้วิธีการเจรจาและมาตรการตัดเส้นทางลำเลียงเพื่อไม่ให้มีเครื่องมือในการสื่อสารได้

แต่ยังไม่มีมาตรการตัดไฟ นอกจากสัญญาณมือถือเท่านั้น

เพราะสภาพพื้นที่ในเมียนมาและกัมพูชามีความต่างกัน

“กัมพูชา” นั้นรัฐบาลสามารถควบคุมและสั่งการได้ทุกพื้นที่การเจรจาจึงง่ายกว่า อีกทั้งยังมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน

พูดง่ายๆสามารถเจรจาขอความร่วมมือน่าจะง่ายกว่า

อยู่ที่ว่ารัฐบาลจะเริ่มดำเนินการเมื่อใดเท่านั้นมีข่าวว่านายกรัฐมนตรีจะเดินทางไปกัมพูชาเพื่อพูดคุยเรื่องนี้ด้วยตนเอง

เนื่องจาก “ทักษิณ ชินวัตร” เริ่มแนบแน่นกับ “ฮุน เซน” พ่อของนายกรัฐมนตรีกัมพูชา น่าจะทำความเข้าใจกันไม่ยาก

แต่ก็ต้องรีบดำเนินการเพราะเหล็กกำลังร้อนจึงต้องรีบตี

โดยเฉพาะการปฏิบัติเพื่อไม่ให้แก๊งอาชญากรรมเศรษฐกิจตั้งตัวได้เนื่องจากอยู่ในภาวะระส่ำระสายที่ถูกรัฐบาลไทยโจมตี

ทางด้านเมียนมาได้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรมชัดเจนคือชนกลุ่มน้อย ซึ่งมีอิทธิพลในพื้นที่ให้ความร่วมมือกับรัฐบาลไทยในการแก้ไขปัญหานี้

ด้วยการสั่งปิดสำนักงานและนำตัวผู้ร่วมขบวนการส่งคืนให้ไทยบางพื้นที่มั่ง ให้ยุติการดำเนินการอย่างเด็ดขาด

...

“หม่องชิต ตู่” หัวหน้าใหญ่ของกะเหรี่ยงที่มีอิทธิพลสูงสุด ประกาศจะให้ความร่วมมือกับรัฐบาลทุกด้าน

หลังจากมีข่าวว่าจะถูกดีเอสไอของไทยออกหมายจับ!

เพราะเขามีบ้านพักในประเทศไทยด้วย หากถูกออกหมายจับก็จะเข้าไทยไม่ได้ จึงต้องพยายามแสดงตัวว่าเป็นพวกเดียวกัน

ประเด็นสำคัญก็คือการเมืองและความไม่แน่นอนในเมียนมานั้นไม่ว่ารัฐบาลทหาร ชนกลุ่มน้อยก็มีหลายกลุ่มหลายพวกไม่ได้ขึ้นตรงต่อกัน

ดังนั้นอะไรจะเกิดขึ้นก็ได้...

ประเทศไทยจึงเป็นแหล่งพำนักของพวกเขาได้หากเกิดปัญหาขึ้นมา

จึงมีความจำเป็นที่จะต้องไม่เป็นศัตรูกับรัฐบาลไทย

ส่วนจะจริงใจแค่ไหนนั้นก็เป็นเรื่องที่จะต้องติดตามความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด เพราะไม่มีทางรอดพ้นสายตาไปได้

แต่วันนี้ ช่วยแก้ไขปัญหาก็เป็นเรื่องที่ดีสำหรับไทย

อีกด้านหนึ่งรัฐบาลจีนได้ให้รายชื่อ “บัญชีดำ” แก๊งคอลเซ็นเตอร์ 3.7 พันชื่อให้รัฐบาลไทยก็ถือว่าเป็นข้อมูลสำคัญเพื่อที่จะได้นำไปใช้ประโยชน์ในการเจาะทะลวงกลุ่มตัวบุคคลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้

ส่วนเหยื่อที่ไปร่วมงานกับแก๊งนี้จะไปด้วยความสมัครใจหรือถูกล่อลวงไปก็ต้องดำเนินการด้วยการส่งกลับประเทศต้นทางของเขา

เพราะจะให้พำนักในไทยต่อไปไม่ได้ เนื่องจากจะเป็นภาระและเสี่ยงที่จะหวนกลับไปทำผิดอีก จึงต้องดำเนินการให้รอบคอบ

รัฐบาลได้มีการประเมินแผนปฏิบัติได้แล้วว่าได้ผลแค่ไหนอย่างไร

ซึ่งว่าให้ถึงที่สุดเป็นแค่เริ่มต้นเท่านั้น จึงต้องดำเนินการต่อไปอย่างเข้มข้น!

"สายล่อฟ้า"

คลิกอ่านคอลัมน์ “กล้าได้กล้าเสีย” เพิ่มเติม