ข่าว “เขย่าขวด” สุดสัปดาห์นี้ เวทีรัฐสภากลายเป็นสนาม “ปาหี่” ที่นักการเมืองมาโชว์ลีลาเพทุบายกันเป็นครึกครื้น

ใคร พรรคไหนไม่รู้เท่าทันก็กลายเป็นเหยื่อ

13–14 ก.พ.68 เป็นกำหนดการที่สมาชิก รัฐสภาจะพิจารณาเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ 2 พรรคยื่นญัตติเอาไว้

“เพื่อไทย”–“ประชาชน”

สาระสำคัญแต่ละพรรคก็มีความต่างกันตามแนวทางและอุดมการณ์ที่พึงปรารถนา อย่างเช่นพรรคหนึ่งต้องการแก้ไขหมวดที่เกี่ยวกับสถาบัน แต่อีกพรรคไม่เอาด้วยกับเรื่องนี้

จุดมุ่งหมายก็ต่างแค่ซ่อนปมเอาไว้เท่านั้น

“ประชาชน” นั้นไฟแรงอุดมการณ์สูงเด่นและปรารถนาที่จะแก้ไขจริงเพื่อให้ยึดโยงกับความต้องการของประชาชน

“เพื่อไทย” นั้นได้ประกาศเอาไว้ตอนหาเสียงว่าต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญในประเด็นที่พรรคจะได้ประโยชน์ แต่อ้างว่าเพื่อให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์

แต่ที่สุดแล้วแก้ได้ไม่ได้ไม่ได้เน้นเท่าใดนัก เพียงแต่แสดงให้เห็นว่าทำจริง แต่ที่ไม่สำเร็จก็เพราะปัจจัยอื่นๆมาเกี่ยวข้องจึงทำไม่ได้

เพื่อเรียกคะแนนสนับสนุนเท่านั้น!

ดูได้จากนายกรัฐมนตรี “แพทองธาร ชินวัตร” และ “พ่อทักษิณ” ก็ไม่ได้ให้ความสำคัญในเรื่องนี้เท่าใดนัก

เพราะสนใจเรื่องอื่นที่สร้างคะแนน นิยมได้ดีและแน่นอนกว่าไม่ได้

การที่การประชุม 2 วันต้องล่มไปเนื่องจากไม่ครบองค์ประชุม จึงเป็นแค่กรรมวิธีเพื่อให้ญัตติดังกล่าวค้างไว้ เพราะรู้ดีว่าถ้าดันทุรังต่อไปก็มีหวังถูกตีตกแน่

“ประชาชน” ที่ยังอ่อนประสบการณ์ตามไม่ทันจึงไม่ค่อยพอใจรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีที่ไม่เอาจริงเอาจังอย่างที่ควรจะเป็น

ไม่รู้ว่านี่คือเกม...

...

ที่ต้องแสดงให้แนบเนียนเหมือนจริง

จึงไม่แปลกที่ “อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย จึงกล้าแสดงออกอย่างไม่เกรงกลัวว่าจะถูกเขี่ยออกจากรัฐบาล เพราะรู้ดีว่าเขามีความสำคัญต่อรัฐบาลแค่ไหน

แม้จะขัดหูขัดตา “เพื่อไทย” อยู่บ้างก็ตาม

แต่ที่ “ภูมิใจไทย” ห่วงกังวลมากกว่าคือเรื่อง สว. (สายสีนํ้าเงิน) ซึ่งเป็นพลังบวกให้พรรคค่อนข้างสูง กำลังจะถูกเจาะยาง

เพราะทำให้ “ภูมิใจไทย” หาญกล้าที่จะท้าทายได้!

“ทักษิณ ชินวัตร” คิดและให้ความสำคัญ เรื่องนี้มากกว่าแก้รัฐธรรมนูญหลายพันเท่า

การที่มีการร้องให้ดีเอสไอจัดการกับ สว. (สายสีนํ้าเงิน) ด้วยข้อหาอั้งยี่ฟอกเงินเพื่อฮั้วเลือกตั้งนั่นแหละคือจุดหมายปลายทาง ที่จะต้องจัดการทางใดทางหนึ่ง

เรื่องดีเอสไอรับลูกทันทีบอกว่าเบื้องต้นพบหลักฐานหลายอย่างที่เข้าข่ายความผิด แต่ต้องถาม กกต.ก่อนเพราะมีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรง

“ทวี สอดส่อง” รัฐมนตรียุติธรรมและแกนนำสำคัญของพรรคประชาชาติ ก็ขานรับทันที เร่งให้ดีเอสไอที่เขารับผิดชอบจัดการทันที

เพราะ “ทวี” นั้น ก็ไม่ชอบพรรคภูมิใจไทยเท่าใดนัก เนื่องจากเป็นคู่แข่งทางการเมืองในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้

จึงต้องการที่จะตัดกำลังของภูมิใจไทย เลือกที่จะยืนข้าง “ทักษิณ” มากกว่า

เรื่องนี้จึงไม่ใช่ธรรมชาติ แต่มีเป้าหมาย ที่ชัดเจนและมีการวางแผนอย่างแยบยลเพื่อจัดการให้อยู่หมัด

ถ้าไม่ยอมเป็นพวกก็จะต้องถูกตัดสินทางการเมือง มีทางเลือกให้ 2 ทาง

พูดง่ายๆว่า “แดง” กำลังจะกลืนกิน “นํ้าเงิน” โดยใช้ดีเอสไอเป็นเครื่องมือ

แต่ละช็อตทางการเมืองนั้นล้วนมีอำนาจแฝงเร้นที่ต้องจับตาอย่าได้กะพริบเป็นอันขาด ข้างบนก็ตบจูบกัน

แต่ข้างหลังนั้น “มีดสั้น” เสียบกันทุกจังหวะ!

“ลิขิต จงสกุล”

คลิกอ่านคอลัมน์ “สับรางวันอาทิตย์” เพิ่มเติม