“แบ็ก ทู สคูล” ฤดูกาลเปิดเทอมโรงเรียนทั่วประเทศ ท่ามกลางเสียงร้องไห้กระจองอแงของเด็กเล็กอนุบาลเกาะพ่อแม่ไม่อยากเข้าห้องเรียนใหม่ ต่างกับเด็กโตดีใจได้กลับไปเจอเพื่อนๆ ส่วนอารมณ์ผู้ปกครองบางส่วนหน้าซีดหน้าเซียว เจอค่าเทอม ค่าชุดนักเรียน อุปกรณ์การศึกษา ฯลฯ
กระเป๋าฉีก ต้องพึ่งบริการโรงรับจำนำขัดดอกไปพลางๆ
ตามสภาพเศรษฐกิจยอบแยบ ค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาทยังยื้อยุดฉุดกระชากระหว่างรัฐบาลกับองค์กรนายจ้าง สวนทางกับน้ำมันดีเซลที่แอบขึ้นไปแตะ 32 บาทต่อลิตรแบบเงียบๆ
ขณะที่ข้อมูลอย่างเป็นทางการล่าสุด โดยนายธนวรรธน์ พลวิชัย ประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคประจำเดือนเมษายน 2567
ปรับตัวลดลงที่ร้อยละ 62.1 จากระดับ 63 เปอร์เซ็นต์ในเดือนมีนาคม
ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม อยู่ที่ 56 เปอร์เซ็นต์ ลดลงจากร้อยละ 59.6 ในเดือนก่อน ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสหางานทำโดยรวม อยู่ที่ระดับ 58.9 เทียบกับเดือนก่อนอยู่ที่ร้อยละ 59.8
ตัวเลขดัชนีเศรษฐกิจลดลงทุกโหมด สะท้อนผู้บริโภคยังไม่มีความเชื่อมั่น มีความกังวลกับสถานการณ์เศรษฐกิจฟื้นตัวช้า ค่าครองชีพถีบตัว ราคาพลังงานที่สูงขึ้นต่อเนื่อง
รวมไปถึงปัญหาเสถียรภาพทางการเมืองในประเทศไม่นิ่ง
จากการลาออกของผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูง โดยเฉพาะการไขก๊อกของนายปานปรีย์ พหิทธานุกร ที่ลาออกจากทุกตำแหน่งใน ครม. ต่อเนื่องกับการเปลี่ยนผ่าน สว.ชุดเก่าที่หมดวาระ
ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นทางการเมืองปรับลง 4 จุด หลังจากที่ปรับตัวดีขึ้นมา 8 เดือนติดต่อกัน
...
สภาพนัวเนียอีนุงตุงนัง สถานการณ์การเมืองฉุดรั้งภาวะเศรษฐกิจ
โดยจังหวะลูกติดพันจากการปรับ ครม.ที่ยังเป็นอาฟเตอร์ช็อกต่อเนื่อง เรื่องป่วนๆของการเกลี่ยโควตาไม่ลงล็อก แบ่งเค้กไม่ลงตัว
ประจาน “ลูกมั่ว” ในการจัดทีมบริหารแบบขอไปที
อาการฟาดหัวฟาดหางแบบที่นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ร่อนจดหมายลาออกถึงนายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ ระบุเหตุผลไขก๊อกชัดๆแนวทางขัดกันกับนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯและ รมว.คลัง ป้ายแดง
โดนแบ่งงานแบบไม่ให้เกียรติ ทำงานร่วมกันไม่ได้
แน่นอน ยึดมาตรฐานตามโปรไฟล์ นายกฤษฎาถือเป็น “ลูกหม้อ” ของกระทรวงการคลัง ถูกฝาถูกตัวจัดคนให้ตรงกับงาน แต่ต้องกระเด้งกระดอนเพราะเหตุผลทางการเมืองเรื่องของโควตา
“ข้าวนอกนา” ขาลอย ไร้พลังต่อรองใดๆในตัวเอง
ปมมันอยู่ที่คิวไขก๊อกของนายกฤษฎา คือการเร่งชนวนลามไปถึงระเบิดเวลาในค่ายรวมไทยสร้างชาติที่กำลังกรุ่นกับศึก “รัฐประหาร” ภายใน ระหว่าง 3 ก๊ก ก๊วนห้อยโหน “ลุงตู่” แก๊งสายตรง “ลุงกำนัน” และกลุ่มสายตรง “สปอนเซอร์”
“ชักเย่อ” โควตา แสดงความเป็นเจ้าของพรรคตัวจริงเสียงจริง
อาการเชิดใส่แบบที่ “เสี่ยตุ๋ย” นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯและ รมว.พลังงาน หัวหน้าค่าย รทสช. แสดงอารมณ์ไม่ยี่หระ นายกฤษฎาลาออก ก็แค่ตั้งใหม่ เป็นโควตาของค่ายรวมไทยสร้างชาติ

ตั้งท่าปาดหน้าทีม “สปอนเซอร์” เจ้าของสิทธิเดิม โชว์ความเป็นเบอร์ใหญ่ สายตรง “ลุงตู่” ถือตั๋ว “เซนต์คา เบรียลคอนเน็กชัน” ของ “บิ๊ก ด.” ผู้มากบารมี
กระตุกเกมต่อรอง “ดีลลังกาวี” วัดใจ “เถ้าแก่ใหญ่”
แก้ลำทีม “สปอนเซอร์” ที่ต่อสายตรงถึงประมุข “จันทร์ส่องหล้า” กลายเป็นทีมเดียวกับนายทักษิณ ชินวัตร ไปแล้ว
แนวโน้มค่าย รทสช.กับเพื่อไทย เริ่มคืนสภาพเป็นน้ำกับน้ำมัน
“สปอนเซอร์” ถอนสมอ ส่อหมดพลัง “ตัวเชื่อมประสาน”
สถานภาพ รทสช.ยังไงก็เสียงไม่ดังเท่าเดิม ในระนาบเดียวกับทีมเกรียนเซราะกราว ค่ายภูมิใจไทย ที่โดนพรรคเพื่อไทยลดระดับความเกรงอกเกรงใจ
ตามปฏิบัติการ “หักดิบ” จ่อดึงกัญชากลับเข้าบัญชียาเสพติด
ตอกย้ำความ “ผิดพลาด” นโยบายเกรียนๆ ที่หวังผลคะแนนเสียงทางการเมือง แต่สร้างความเสียหายใหญ่หลวงทางสังคม
อารมณ์ทีมเพื่อไทยโกยแต้มจากสังคมส่วนใหญ่ที่ต่อต้าน “สายควัน” หักมุมกับอาการของ “เสี่ยหนู” นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ก้มหน้าก้มตา

ไม่กล้าหือ หรือแข็งขืนตามเสียงยุของกองหนุนกัญชา
ทีมเซราะกราวจำใจต้องลดธงนโยบายจุดขาย เพราะผวาวาระแฝงเร้นของ “เถ้าแก่ใหญ่” หมายตา “เวนคืน” โควตากระทรวงมหาดไทย
สัญญาณเล่นแรง แสดงว่าพร้อมวัดดวงหักลำ
ด้วยลูกเขี้ยว “ทักษิณ” ฉลาดอยู่แล้วในเกมถือไพ่แต้มต่อ ไม่พลาดฉวย “อะไหล่” ยี่ห้อประชาธิปัตย์ ที่แบะท่ารอ พร้อมเสียบแทน
“นายกฯในตำนาน” ออกฤทธิ์ โชว์เดช ไม่มีแผ่ว ไม่มีพัก
แต่ “นายกฯในตำแหน่ง” อย่างนายเศรษฐา ต้องแบกโจทย์ยาก ในสภาพรัฐบาลผสมสูตรพิสดารที่เกาะเกี่ยวกันด้วยดีลผลประโยชน์หลวมๆพร้อมวงแตกตลอดเวลา ไม่ได้เรียกความมั่นใจในสายตาของนักลงทุนหรือแม้แต่ผู้บริโภค
ไม่มีใครเสี่ยงกับเกมเดิมพันอำนาจการเมืองมาก่อนผลสัมฤทธิ์เชิงบริหาร
สถานการณ์ภายในพรรคร่วมรัฐบาลเริ่มคืนสู่สภาพความเปราะบาง ในจังหวะแรงเสียดทานภายนอกที่พุ่งขึ้นอย่างฉับพลันทันด่วน
ทั้งเร็วและทรงพลังยิ่งกว่าพายุลูกเห็บฤดูร้อนพัดกระหน่ำ
จากการเสียชีวิตของ “บุ้ง ทะลุวัง” หรือ น.ส.เนติพร เสน่ห์สังคม นักกิจกรรมทางการเมือง แกนนำมวลชนสายต่อต้านอนุรักษ์นิยม
“ตายคาเรือนจำ” หลังวูบหมดสติ ผลพวงจากการอดอาหารประท้วง เรียกร้องให้ปล่อยนักโทษคดีการเมือง โดยเฉพาะผู้ต้องขังจากความผิดฐานละเมิดกฎหมายอาญา มาตรา 112
กลายเป็นเหยื่อความเห็นต่างทางการเมือง ต้องใช้ชีวิตเซ่นอุดมการณ์
ปมอ่อนไหวต่อความรู้สึกประชาคมโลก ถูกตีข่าวใหญ่กระฉ่อน สื่อยักษ์อย่างรอยเตอร์ ไทม์ เดอะ สเตตไทม์ ฯลฯ พากันรายงานการเสียชีวิตของนักกิจกรรมสาวไทย อดอาหารประท้วงกระบวนการยุติธรรม
บรรดาเอกอัครราชทูต โดยเฉพาะชาติตะวันตกที่ประจำอยู่กรุงเทพฯ ทั้งสหรัฐอเมริกา อังกฤษ เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ ฟินแลนด์ ฯลฯ ต่างพากันโพสต์ข้อความแสดงความเสียใจ ให้เกียรติไว้อาลัย
นานาชาติพุ่งเป้าสปอตไลต์จับจ้องมาที่ประเทศไทย
พร้อมๆกับสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แสดงปฏิกิริยา เรียกร้องให้มีการสอบสวนการเสียชีวิต และการดูแล “บุ้ง ทะลุวัง” อย่างโปร่งใสและเป็นกลาง
ในอารมณ์ที่ผู้คนในประเทศพุ่งเป้าไปที่กรมราชทัณฑ์ กระแสสังคมตั้งแง่สงสัยการปล่อยให้ผู้ต้องขังที่อยู่ระหว่างใช้สิทธิขอประกันตัวสู้คดี เสียชีวิตแบบมีเครื่องหมายคำถามมากมาย
จุดชนวนไฟมวลชนฝ่ายต้านอนุรักษ์นิยม กลับมาลุกพรึบพรับ

ตามจังหวะขยับของฝ่ายค้าน พรรคก้าวไกล ที่ชูธงแก้ไขมาตรา 112 ไม่ให้เป็นเครื่องมือทำร้ายผู้เห็นต่างทางการเมือง รีบเร่งเครื่องไล่บี้สภาให้เดินหน้า พ.ร.บ.นิรโทษกรรม จี้ผู้มีอำนาจปล่อยนักโทษเหยื่อความขัดแย้งการเมือง ออกจากเรือนจำ
ดักลำ อย่าให้มีศพที่สองซ้ำรอย “บุ้ง ทะลุวัง”
โดยเงื่อนไขสถานการณ์โยนแรงกดทับหล่นใส่พรรคเพื่อไทย แบบที่ตัวแทนมวลชนบุกถึงทำเนียบรัฐบาล ไล่บี้สภาฯ ขอคืนสิทธิประกันตัวผู้ต้องหามาตรา 112
เรียกร้องให้เร่งผลักดัน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมช่วยเหยื่อคดีการเมืองอย่างที่หาเสียงไว้
นัยว่าให้โอกาสแก้ตัวจากที่ตระบัดสัตย์พลิกขั้วตั้งรัฐบาล
ปรากฏการณ์ “บุ้ง ทะลุวัง” เซ่นอุดมการณ์ด้วยชีวิต กำลังต้อน “เถ้าแก่ใหญ่” เข้ามุมอับ ภายใต้ภาพย้อนแย้งหนีไม่พ้นถูกโยงเปรียบเทียบกับ “นักโทษวีไอพี” ร่อนไปไหนมาได้ตามอำเภอใจ
แต่เด็กที่เรียกร้องสิทธิประกันตัว ต้องตายคาเรือนจำ.
“ทีมการเมือง”
คลิกอ่านคอลัมน์ “วิเคราะห์การเมือง” เพิ่มเติม