การเมืองไทยในขณะนี้ตอกยํ้าถึงความเห็นต่างระหว่างฝ่ายอนุรักษ์นิยมกับฝ่ายเสรีนิยมหรือประชาธิปไตยอย่างชัดแจ้ง อาจกลายเป็นชนวนขัดแย้งต่อไป คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญอาจไม่ใช่เพียงสั่งให้เลิกการกระทำ แต่อาจนำไปสู่การยุบพรรค และให้ “ใบดำ” สส.พรรคก้าวไกลถึง 44 คน
มีทั้งระดับผู้นำอย่างนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และ สส. ศิริกัญญา ตันสกุล เป็นต้น ที่ถูกร้องกล่าวหาฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง อาจถูกศาลฎีกาสั่งให้พ้นตำแหน่ง และห้ามสมัครรับเลือกตั้งตลอดชีวิต เป็นผลสืบเนื่องจากคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ที่ว่า “ล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย”
เป็นความผิดตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 ที่สืบทอดหรือต่อยอดมาจากรัฐธรรมนูญ 2517 ฉบับที่ได้มาจากการต่อสู้ของประชาชน บัญญัติใน ม.53 ว่า บุคคลจะใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญให้เป็นปฏิปักษ์ต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และรัฐธรรมนูญมิได้ แต่รัฐธรรมนูญต่อๆมา ขยายความออกไปอีก
รัฐธรรมนูญ 2550 ซึ่งประกาศใช้ในช่วงรัฐบาลคณะรัฐประหาร เขียนไว้ ใน ม.68 ห้ามบุคคลใช้สิทธิหรือเสรีภาพ เพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจปกครองโดยไม่ได้เป็นไปตามวิถีทางรัฐธรรมนูญ หมายถึงห้ามยึดอำนาจด้วยรัฐประหารใช่หรือไม่
รัฐธรรมนูญ 2517 ฉบับนักศึกษาประชาชน ห้ามใช้สิทธิเสรีภาพเป็นปฏิปักษ์ต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และรัฐธรรมนูญ แต่ฉบับ 2560 เขียนไว้ครอบ จักรวาล ห้ามใช้สิทธิเสรีภาพ เพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่ระบุเรื่องการยึดอำนาจนอกรัฐธรรมนูญ
จึงอาจตีความได้อย่างกว้างขวาง แบบครอบจักรวาล แต่หลักการแม่บทก็คือ ระบอบประชาธิปไตยทั่วโลกแบ่งออกเป็น 2 ระบบ คือ ระบบรัฐสภากับระบบประธานาธิบดี ไทยเป็นระบบรัฐสภา ถือว่ารัฐสภามีอำนาจสูงสุด เพราะรัฐสภาเป็นองค์กรเดียว ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ซึ่งเป็นที่มาของอำนาจอธิปไตย
...
รัฐสภาจึงมีอำนาจสูงสุด ทั้งใน ด้านนิติบัญญัติ เช่น การตรากฎหมายการแก้ไขกฎหมาย การยกเลิกกฎหมาย หรือแม้แต่รัฐธรรมนูญ ในระบบรัฐสภา แม้แต่รัฐบาลหรือคณะรัฐมนตรี ก็ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง แต่รัฐสภาเป็นผู้เลือกนายกรัฐมนตรี เรื่องนี้เป็นประเด็นที่ต้องอภิปรายต่อไป โดยเฉพาะในช่วงจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขณะนี้.
คลิกอ่านคอลัมน์ “บทบรรณาธิการ” เพิ่มเติม