แหวกม่านฝุ่นควันพิษ PM2.5 ท้องฟ้าแจ่มใสได้แค่ 7 วัน 7 คืน

กองเชียร์ด้อมส้ม ทีมคนรุ่นใหม่ยังดีใจกันไม่หาย บรรยากาศพรรคก้าวไกลก็หวนกลับมาอึมครึม

คล้ายเมฆหมอกมรณะปกคลุม มืดมนอนธการ

หลังปรากฏการณ์ฟ้าฟาด จากคำพิพากษาของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ นำโดยนายวรวิทย์ กังศศิเทียม ประธานศาลรัฐธรรมนูญ นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ นายปัญญา อุดชาชน นายจิรนิติ หะวานนท์ นายบรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์ นายนภดล เทพพิทักษ์ นายอุดม รัฐอมฤต นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม นายวิรุฬห์ แสงเทียน

ลงมติด้วยคะแนนเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 เสียง

วินิจฉัยการกระทำของ “หนุ่มทิม” นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ผู้ถูกร้องที่ 1 และพรรคก้าวไกล ผู้ถูกร้องที่ 2 เข้าข่าย “ล้มล้างการปกครอง”

จากกรณีนโยบายเกี่ยวกับประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112

พฤติการณ์ “เซาะกร่อน–บ่อนทำลาย” สถาบันเบื้องสูง สั่งให้เลิกการกระทำ การแสดงความคิดเห็น การเขียน การพิมพ์และการโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่นเพื่อให้มีการยกเลิกกฎหมายมาตรา 112

อีกทั้งไม่ให้มีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ด้วยวิธีการซึ่งไม่ใช่กระบวนการทางนิติบัญญัติโดยชอบ ที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตด้วย

“พิธา” ถูกหวย ทีม สส.กองทัพส้มส่อซวยยกแผง

ตามแรงตกกระทบ ผลพวงคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ส่อเป็น “เชื้อบาดทะยัก” ลามหนักถึงขั้นโดน “ยุบพรรค” และโทษหนักสุด “ประหารชีวิตทางการเมือง” ตัวพ่อด้อมส้ม และอีก 43 สส.พรรคก้าวไกล

แบบที่ “นักร้องอาชีพ” ปาดหน้าแย่งกันรับงาน

...

ตัวจี๊ดวงการอย่างนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ชิงลูกเก๋าเป็นเสือปืนไว ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ ยุบพรรคก้าวไกล และตัดสิทธิทางการเมืองกรรมการบริหารพรรค

เบียดซีนกับ “ทนายพุทธะอิสระ” นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ในฐานะผู้ร้องปม 112 ต่อศาลรัฐธรรมนูญ ที่ลุยซ้ำดาบสอง ยื่น กกต.ให้ล้มกระดานนายพิธาและพรรคก้าวไกล ตามลูกติดพันจากปมล้มล้างการปกครอง

และยังพ่วงด้วยการยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อให้เอาผิดจริยธรรมนายพิธา และ สส.พรรคก้าวไกล รวม 44 คน ที่ร่วมลงชื่อใน พ.ร.บ.แก้ไขมาตรา 112

ขาดแค่ “พี่ศรี” นายศรีสุวรรณ จรรยา ที่ติดคิว “ไอ้หนุ่มรถไถ”

นักร้องอาชีพครึกครื้น มหกรรม “รุมกินโต๊ะจีน” พรรคก้าวไกล คึกคักตามสัญญาณคลื่นความถี่สูงเกมล้างบาง “น้ำสอง” ทีมเด็กรุ่นใหม่

ขบวนการ “อนุรักษ์นิยม” กระเหี้ยนกระหือรือ กวาดเสี้ยนหนาม “เสรีนิยม”

และแน่นอน โดยอิทธิฤทธิ์ของ “มาตรา 112 ต้องห้าม” ลามถึงวิบากกรรมยุบพรรค ประหารชีวิตทางการเมืองกองทัพส้ม หนีไม่พ้นก่อผลกระทบการขับเคลื่อนภารกิจฝ่ายนิติบัญญัติในสภาผู้แทนราษฎร

ตามจังหวะที่นายพิธาเพิ่งแถลงโรดแม็ปปี 2567 กางพิมพ์เขียว 6 เป้าหมายทำให้ประเทศ ไทยเป็นประชาธิปไตยเต็มใบ มุ่งไปที่การล็อกคิวอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลในเดือนเมษายน

เน้นการเดินหน้าเข็นร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯเหยื่อมาตรา 112

แต่แม่ทัพอย่าง “หนุ่มทิม” ยังต้องลุ้นชะตากรรม จะอยู่ถึงหรือไม่ รวมถึง 43 สส.ของพรรคก้าวไกลที่โดนลากเข้าปมเงี่ยงจริยธรรม ล้วนแต่ระดับขุนศึกทั้งนั้น

อารมณ์แบบที่ “เดอะต๋อม” นายชัยธวัช ตุลาธน ผู้นำฝ่ายค้าน หัวหน้าพรรคก้าวไกล โยนเครื่องหมายคำถามย้อนศร ตีความคำตัดสินของรัฐธรรมนูญที่ยังคลุมเครือ อาจกระทบการแก้กฎหมายของฝ่ายนิติบัญญัติในอนาคต

ดักคอเลยว่า หากยุบพรรคก้าวไกล การเมืองไม่ปกติแน่

สัญญาณคลื่นตรงกันกับ “ตัวตึง” อย่างนายรังสิมันต์ โรม และนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ ค่ายสีส้ม ที่ระบุคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญสร้างคำถามให้สังคม

เตือนเป็นนัย ถ้าหากขวางวิธีแก้กฎหมายมาตรา 112 ไม่ให้พื้นที่ฝ่ายนิติบัญญัติในสภา จะนำมาซึ่งวิกฤติใหม่ ตามธรรมชาติของพรรคก้าวไกลที่ไม่ใช่ตัวบุคคล แค่คือทุกคนที่มีความเชื่ออยากเห็นสังคมที่ดีกว่า

ตามเงื่อนไขสถานการณ์ ฝ่าย เสธ.กองทัพส้มเดินหมากดักไว้แล้ว กับความได้เปรียบเชิงกระแส มวลชนพร้อมแห่ “ตายสิบเกิดล้าน”

ฉวยแรงกดดันจากการโดนบล็อกในสภา กระพือควันเริ่มกรุ่นนอกสภา

สัญญาณเคลื่อนม็อบลงถนนแว่วมาแต่ไกล

และที่จมูกไวสุดก็คือ “นักลงทุน” ตามปรากฏการณ์แบบที่กระดานหุ้นแดงเถือกในวันที่ศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัยพรรคก้าวไกลล้มล้างการปกครอง

เกมอำนาจการเมืองไทยไหลเข้าสู่จุดความเสี่ยงสูง

ในขณะที่สื่อยักษ์ ทั้งรอยเตอร์ บีบีซี เอพี อัลจาซีรา นิเคอิ เอเชีย ฯลฯ พากันรายงานข่าวไปทั่วโลก พุ่งเป้าขยายประเด็นพรรคการเมืองที่ได้รับเลือกตั้งเป็นอันดับหนึ่งของประเทศไทย ถูกเบรกนโยบายสำคัญในการหาเสียง

กระตุกแรงกดดันการพัฒนาประชาธิปไตย

ความไม่แน่นอนในสถานการณ์ ตามเงื่อนไขที่โยง ต่อเนื่อง โอกาสสูงที่จะยกระดับเป็นแรงกดทับทางเศรษฐกิจของเมืองไทย แบบหนีไม่ออก เลี่ยงไม่ได้

ทั้งแรงบีบภายนอกประเทศ แรงกระเพื่อมจากการดิ้นสู้เกมอำนาจภายใน

มันคือโจทย์โคตรยากที่เติมเข้าไป “ซ้ำซ้อน” โจทย์โคตรโหดหิน

สภาพการณ์แบบที่ “ซาร์เศรษฐกิจ” ระดับนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกฯ มือวางอันดับต้นๆของเอเชีย เพิ่งขึ้นเวทีเศรษฐศาสตร์ธรรมศาสตร์ ฉายภาพเศรษฐกิจของประเทศไทย

ฟันธงจีดีพีไทยไม่มีทางเติบโตเหมือนเดิมอีก เพราะประเทศขาดความสามารถในการแข่งขัน

จากปัจจัยสำคัญเป็นตัวฉุดรั้ง การแบ่งขั้วแบ่งสี ความขัดแย้งทางการเมืองที่เป็นตัวถ่วงมากว่า 20 ปี ตอนนี้เศรษฐกิจไทยตามไม่ทันคู่แข่งในอาเซียนแล้ว ทั้งอินโดนีเซีย เวียดนาม มาเลเซีย ทิ้งไปไม่เห็นฝุ่น

สภาพการยื้อแย่งผลประโยชน์ในเกมอำนาจ รัฐบาลแต่ละช่วงออกนโยบายบริหารดีๆ แต่การเมืองไม่สนับสนุนให้ทำได้ เพราะการเมืองมุ่งแต่เอาชนะกัน แบ่งสี แบ่งขั้ว แบ่งค่าย เพื่อช่วงชิงเอาฐานเสียงทุกรูปแบบ

และก็นำไปสู่การต้องหาเสบียง หาเงิน ดัชนีคอร์รัปชันก็เลยพุ่งสูง

เปิดโอกาสให้ทุนธุรกิจการเมืองเข้ามา กลายเป็นรูปแบบธุรกิจ นโยบายจึงออกมาเป็น “ควิกวิน” ระยะสั้น ไม่สามารถทำระยะยาวได้ เรื่องที่เป็นนโยบายใหญ่ๆ กฎหมายสำคัญๆที่จะออกจากสภาก็ไม่ทำ

การเมืองก็ใช้วิธีปรองดองกันเพื่อผลประโยชน์เท่าที่ทำได้

ความเชื่อใจ ความเชื่อมั่น และความน่าเชื่อถือของประเทศ คือสิ่งสำคัญที่สุดในสถานการณ์ขณะนี้

สไตล์ “สมคิด” นานๆปล่อยของซะที ไม่พูดพร่ำเพรื่อ เหนืออื่นใด ตามสถานะของคนที่ลอยตัวอยู่บนภู ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด

ไม่มีวาระแฝง เข้าทาง “ฝ่ายค้าน” หรือเข้าเหลี่ยม “รัฐบาล”

การออกมาสะท้อนภาวะเศรษฐกิจของอดีตรองนายก รัฐมนตรี มือเศรษฐกิจทั้งในยุครัฐบาลไทยรักไทย และรัฐบาลทหาร 3 ป. ถือว่ามีน้ำหนัก จังหวะพอดิบพอดีกับตามภาพตรงหน้า

“เดจาวู” ไฟขัดแย้งรอบใหม่เริ่มระอุจากในสภา ทะลักลงถนน

และคนที่เครียดหนักกว่าใคร หนีไม่พ้นเบอร์หนึ่งฝ่ายบริหารอย่างนายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯและ รมว.คลัง อารมณ์ “มือใหม่หัดขับ” ต้องเจอกับรถโกดังเก่า บุโรทั่ง “ติดหล่ม” ลึก แรงขยับขับเคลื่อนแทบไม่มี

ณ จุดที่ “เรือธง” โครงการเทกระจาด “ดิจิทัล วอลเล็ต 10,000 บาท” ยังค้างเติ่ง จากที่เสียงแข็งโชว์กองเชียร์ไม่ให้เสียเชิงเสียฟอร์ม

แต่เสียงเริ่มเบาลงเรื่อยๆตามระดับสัญญาณอันตราย

ส่วนโปรเจกต์ในฝัน “แลนด์บริดจ์” เชื่อมอ่าวไทย–อันดามัน ก็ยังล่องลอยเคว้งคว้าง สับสนอลเวงกับเมกะ โปรเจกต์อีอีซีที่พร้อมหมดแล้ว แต่รัฐบาลทิ้งไปปั่นโครงการยักษ์ใหม่ แล้วนักลงทุนที่ไหนจะเชื่อในความมั่นคงนโยบายรัฐ

สถานการณ์ปกติ การบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาลผสมสูตรพิสดาร ก็เหนื่อยสาหัสอยู่แล้ว

แนวโน้มส่อสัญญาณปั่นม็อบลงถนน ยิ่งส่อรากเลือดเข้าไปอีก.

“ทีมการเมือง”

คลิกอ่านคอลัมน์ “วิเคราะห์การเมือง” เพิ่มเติม