ผ่านไม่ผ่านต้องไปลุ้นกันวันที่ 13 ก.ค.66 นั่นแหละ...ฉะนั้นก่อนจะถึงวันนั้นใครบอกผ่านตลอดก็แค่คำคุยปลอบใจตัวเองมากกว่า
เปรียบไปก็เหมือนกับการเดินสายปลุกระดมมวลชนในจังหวัดต่างๆ ที่บอกว่าไปเยี่ยมเยียนผู้ที่ให้การสนับสนุนพรรค
จริงๆต้องบอกว่าเป็น “แอบจิต” ด้วยหมากสองชั้นมากกว่า
ก่อนจะถึงวันโหวตมาปูพื้นว่าด้วยขั้นตอนและกรรมวิธีที่พึงปฏิบัติในกระบวนการดำเนินการ เพื่อให้ได้มาซึ่งนายกรัฐมนตรี
“พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” คือ 1 ในแคนดิเดตจาก “ก้าวไกล” ซึ่งจะมีการเสนอชื่อเป็นอันดับแรกจากทั้งหมดรูปการณ์คงจะมีเพียงคนเดียว
แต่ในจำนวนแคนดิเดตทั้งหมดของแต่ละพรรคที่มี ส.ส.จำนวน 25 คนขึ้นไปนั้น ยังมีอีกหลายคนที่สามารถเสนอชื่อแข่งได้
“อนุทิน ชาญวีรกูล” จาก “ภูมิใจไทย” “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” จาก “พลังประชารัฐ” “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” จาก “ประชาธิปัตย์”
“พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” และ “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” จาก “รวมไทยสร้างชาติ” “แพทองธาร ชินวัตร”-“เศรษฐา ทวีสิน”-“ชัยเกษม นิติสิริ” จาก “เพื่อไทย”
บุคคลที่เอ่ยชื่อมานั้นมีสิทธิได้รับเลือกหากมีการเสนอชื่อเข้าชิง
ขั้นตอนในการดำเนินการหากเสนอชื่อผู้ใดจะต้องมี ส.ส.ยกมือรับรองจำนวน 50 คนขึ้นไป และการโหวตต้องกระทำ อย่างเปิดเผยด้วยการขานชื่อแต่ละคน
ถ้าได้คะแนนโหวตมากที่สุดคนนั้นก็จะได้เป็นนายกรัฐมนตรี แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องได้เสียงสนับสนุน
376 เสียงคือกึ่งหนึ่งจากจำนวนสมาชิก 750 คน
ความยากมันอยู่ตรงนี้แหละ...
...
ทำให้ “ก้าวไกล” และอีก 7 พรรคการเมืองที่สนับสนุน จึงต้องดิ้นรนทุกอย่างเพื่อหาเสียงสนับสนุนให้ได้ครบจำนวน
เอนไปทางพรรคการเมืองอื่นๆ ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากติดปมที่ความเห็นไม่ตรงกันเรื่อง ม.112
เช่นกัน ส.ว.เองก็มีประเด็น ม.112 เป็นเรื่องหลักที่จะไม่โหวตให้รวมถึงนโยบายที่เกี่ยวกับความมั่นคงพ่วงไปด้วย
จึงไม่แปลกที่มีการกำหนดหมายล่วงหน้า เพื่อจะให้มีการโหวตรอบที่ 2-3 ทั้งๆที่โหวตรอบแรกยังไม่เริ่มต้นด้วยซ้ำไป
ด้วยเหตุและปัจจัยดังที่ว่ามานั้น ทำให้เกิดความไม่แน่นอนทางการเมืองว่า จะลงเอยแบบไหนอย่างไร
ที่สำคัญก็คือ บรรดาแคนดิเดตที่เหลืออยู่จึงไม่ต่างกับได้คืนชีพขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง เพราะมีโอกาสที่จะสอดแทรกเข้าทำเนียบด้วย
แต่จะเข้าทางไหนอย่างไรต้องดูกันต่อไป
ทว่าแนวทางรัฐบาลเสียงข้างน้อยนั้นปิดสวิตช์ไปได้เลย เพราะไม่มีใครเอาด้วยแค่คิดก็จบแล้วไปไม่รอด
ทางที่จะเป็นไปได้มากที่สุดก็คือ “ก้าวไกล” ต้องหลุดไปเป็นฝ่ายค้าน
“เพื่อไทย” รับหน้าสื่อเป็นแกนนำแทน เนื่องจากมีเสียงอยู่ในมือ 141 เสียง สามารถผสมกลมกลืนกับพรรคอื่นได้ด้วยข้อจำกัดที่น้อยมาก
“บิ๊กป้อม” ที่จะเป็น “ม้าฟลุก” นั้นแค่ได้ฝันก็พอแล้ว!
“สายล่อฟ้า”