เช้าวันนี้ สภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 26 จะประชุมนัดแรก เพื่อปฏิญาณตนก่อนเข้ารับหน้าที่ ตามมาตรา 115 ของรัฐธรรมนูญ จากนั้นจะเป็นการเลือกตำแหน่ง ประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งจะทำหน้าที่เป็น ประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ ในฐานะ ประธานรัฐสภา และเลือก รองประธานสภาผู้แทนฯ 2 คน ก็หวังว่า พรรคเพื่อไทยที่แสดงท่าทีคลุมเครือมาตลอด จนสถานการณ์บ้านเมืองมีความไม่แน่นอน เศรษฐกิจหงอย หุ้นตก ต่างชาติชะลอลงทุน จะมีการตัดสินใจเชิงบวกในเที่ยงวันจันทร์ที่ 3 ก.ค. ไม่หักหลังเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน ซึ่งจะเป็นผลร้ายต่อพรรคเพื่อไทยในระยะยาวมากกว่าผลดี
มาตรา 115 ในรัฐธรรมนูญ บัญญัติไว้ดังนี้ ก่อนเข้ารับหน้าที่ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ต้องปฏิญาณตนในที่ประชุมด้วยถ้อยคำดังต่อไปนี้ “ข้าพเจ้า (ชื่อผู้ปฏิญาณ) ขอปฏิญาณว่าข้าพเจ้าจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชนทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตาม ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ”
ก็ต้องดูกันต่อไปว่า ส.ส.499 คนในสภาผู้แทนฯหลังจากที่ปฏิญาณตนไปแล้ว “จะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน” จะปฏิบัติตนตามคำปฏิญาณหรือไม่ เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ เพื่อประโยชน์ของประชาชนทำให้ประเทศสามารถเดินหน้าไปได้อย่างมั่นคงและมีอนาคต หรือ จะตระบัดสัตย์ตั้งแต่วันแรก หลังจากที่เพิ่งปฏิญาณตนไปเพียงไม่กี่ชั่วโมง
ผมไม่คิดจะ ดูถูกนักการเมืองไทย แต่พฤติกรรมของนักการเมืองไทยที่ผ่านมา มันผิดทั้งศีลธรรมจรรยาบรรณและธรรมาภิบาล ไม่เคารพในกติกาประชาธิปไตย ทำตัวเป็นศรีธนญชัยที่เชื่อถือไม่ได้ คิดแต่ผลประโยชน์ของตัวเองและพรรคพวก กรณี ประธานสภาผู้แทนฯ ก็เช่นเดียวกัน ทั้งที่ประชาชนเลือกพรรคก้าวไกลมาเป็นอันดับ 1 ด้วยคะแนนเสียงกว่า 14 ล้านเสียง ชนะเพื่อไทยที่ได้ 10 กว่าล้านเสียงถึง 4 ล้านเสียง กลับต้องมาเจรจากันเป็นวรรคเป็นเวร เก้าอี้ประธานสภาผู้แทนฯควรจะเป็นของใคร เพราะเพื่อไทยอยากได้เป็นของตัวเอง
...
ถ้าเป็นประเทศประชาธิปไตยที่เจริญแล้ว นักการเมืองจะเคารพในกติกา ให้พรรคที่ได้เสียงข้างมากเป็นประธานสภาโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องไปโหวตลับกันในสภา เช่น วุฒิสภาสหรัฐฯและสภาผู้แทนสหรัฐฯ พรรคที่ได้ ส.ส. ส.ว. มากกว่ากันแค่ 1 เสียง ก็ถือว่าพรรคนั้นได้เสียงข้างมาก ได้เก้าอี้ประธานสภาไปโดยปริยาย ไม่มาอ้างกันชุ่ยๆว่า ชนะกันแค่ 10 เสียงเอง หรือบางคนเอาสีข้างหนังช้างเข้าถูแบบเข้ารกเข้าพงไปเลยว่า พรรคที่ได้ 14 ล้านเสียงจากผู้ไปใช้สิทธิ 40 ล้านเสียง ไม่ถือว่าเป็นเสียงข้างมาก เพราะได้แค่ 14 ล้านเสียง นักการเมืองแบบนี้สมองคงไม่ปกติเท่าไหร่
หลังการประชุม 8 พรรค วันอาทิตย์ที่ 2 ก.ค. นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทยแถลงเรื่อง ประธานสภาผู้แทนฯ แบบคลุมเครือเช่นเดิมว่า จะนำเรื่องนี้เข้าประชุมกรรมการบริหารพรรคเพื่อตัดสินในวันที่ 3 ก.ค. ก่อนเปิดประชุมสภานัดแรก
นพ.ชลน่าน กล่าวย้ำว่า เรื่องตำแหน่งประธานสภายังไม่ได้ข้อสรุป และยังอยู่ในกระบวนการ เมื่อพรรคเพื่อไทยมีข้อสรุปที่ชัดเจนจะมีการแจ้งให้พรรคก้าวไกลทราบ มั่นใจว่า ข้อสรุปที่ได้รับในวันพรุ่งนี้ น่าจะเป็นข้อสรุปที่ดีที่สุดสำหรับประเทศชาติและประชาชนและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง นี่คือ “ความไม่ปกติ” ที่เกิดขึ้นในการเมืองไทยยุคประชาธิปไตยพิการ เป็นการไม่เคารพเสียงประชาชนส่วนใหญ่ ทั้งที่พรรคก้าวไกลได้รับเลือกตั้งมากว่า 14 ล้านเสียง มากกว่าเพื่อไทย 4 ล้านเสียง ยังต้องมา “รอความเห็นชอบ” จาก พรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นเรื่อง “ไม่ปกติ” ในระบอบประชาธิปไตยที่ยึดเสียงประชาชน
การที่ต้อง “โหวตลับ” เพื่อเลือก ประธานสภาผู้แทนฯ เป็นการจงใจสร้างเงื่อนไขของ รัฐธรรมนูญ คสช. ที่มี นายมีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธานร่าง ไม่รู้พวกท่านรักชาติแบบไหนกันแน่
หวังว่า นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย จะรักษาความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน ตามที่ปฏิญาณตนไว้ ไม่หักหลังเสียงประชาชน.
“ลม เปลี่ยนทิศ”