งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา

จับสัญญาณจากการประชุมคณะรัฐมนตรีนัดที่ผ่านมาใช้เวลานานมากกว่า 7 ชั่วโมง ในการพิจารณาอนุมัติสารพัดโครงการ ไฟเขียววงเงินงบประมาณทะลุ 1.7 แสนล้านบาท

เทกระจาดอัดฉีดแหลกทุกกระทรวง ทุกกรมที่ชงเรื่องทันเส้นตาย

โดยเฉพาะรายการ “ซื้อเสียงล่วงหน้า” ด้วยการจัดงบประมาณ 4.7 พันล้านบาท เพิ่มค่าตอบแทนกำนัน–ผู้ใหญ่บ้าน–แพทย์ประจำตำบล–สารวัตรกำนัน–ผู้ช่วย ผู้ใหญ่บ้าน จัดให้ทุกระดับประทับใจ

ล้อไปกับการเพิ่มค่าตอบแทนองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) อัตราใหม่ เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 เป็นต้นไป ด้วยวงเงินกว่า 4.2 พันล้านบาท

เหลี่ยมเขี้ยวของฝ่ายกุมอำนาจรัฐ กวาดต้อนหัวคะแนนด้วยเงินหลวง

ชิงจังหวะทิ้งทวน ครม.นัดสั่งลา ตามเงื่อนไขสถานการณ์นับถอยหลัง “ยุบสภา” อีกไม่กี่อึดใจข้างหน้า

อย่างที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ฝ่ายกฎหมาย ระบุเองเลยว่า รอคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ส่งเรื่องการแบ่งเขตเลือกตั้งให้รัฐบาล ตอนนี้พระราชกฤษฎีกายุบสภาเลือกตั้งพร้อมอยู่แล้ว “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว.กลาโหม นำขึ้นทูลเกล้าฯได้ทันที โดยไม่ต้องผ่านที่ประชุม ครม.

รอกระบวนการแบ่งเขตเลือกตั้งให้เคลียร์เท่านั้น

และก็น่าจะเป็นการขยับย้ายพรรค เปลี่ยนสังกัดลอตท้ายๆแล้ว ถึงจุดที่โคตรเซียนเลือกตั้งอาชีพระดับนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม กับนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม ตัดสินใจทิ้งค่ายพลังประชารัฐ กลับบ้านเก่าเข้าสังกัดพรรคเพื่อไทย

ลากเกมวัดใจจนเกือบหมดระยะ สุดปลายทาง

...

และก็ยังได้เห็นปรากฏการณ์แบบพลิกล็อกสุดขั้ว แบบที่ “พ่อหนวดงาม” นายศรัณย์วุฒิ ศรัณย์เกตุ ส.ส.อุตรดิตถ์ จอมพเนจร ที่เคยหาญกล้าท้าดวลปืนกับ “บิ๊กตู่” กลางสภา แต่ไปๆมาๆเลี้ยวหักมุมแบบ 360 องศา สมัครเข้าสังกัดพรรครวมไทยสร้างชาติ ร่วมทีมหามแห่ พล.อ.ประยุทธ์ หน้าตาเฉย

ได้เวลาเฉลยคำตอบสุดท้าย ถึงจุดปักหมุด โชว์ความชัดเจน

เบื้องต้นก็พอจะเห็นแนวโน้มกันแล้ว พรรคไหนถือแต้มต่อ ป้อมค่ายใดตกเป็นรอง เทียบกองกำลังผู้สมัคร ส.ส.เกรดเอประกอบกับกระแสและกระสุน ใครปึ้กกว่าใคร

ขั้วไหนมีโอกาสจัดตั้งรัฐบาลมากกว่า

ที่แน่ๆระดับหัวขบวนเดินหมากข้ามช็อต เคลื่อนไหวจับขั้วกันล่วงหน้าแล้ว

แนวโน้มแบบที่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ หัวหน้าค่ายพลังประชารัฐ เปิดบ้านป่ารอยต่อฯเลี้ยงอาหารมื้อกลางวัน “เสี่ยหนู” นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและ รมว.สาธารณสุข หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย “เสี่ยโอ๋” นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม เลขาธิการพรรค และนายชาดา ไทยเศรษฐ์ ส.ส.อุทัยธานี โดยที่ไม่มีการแจ้งคิวก่อนแต่อย่างใด

แต่ก็เป็นความตั้งใจที่จะปล่อยให้ภาพข่าววงอาหารกลางวันระหว่าง “บิ๊กบราเธอร์” กับหัวขบวนก๊วนเซราะกราว หลุดมาเป็นข่าวตามสื่อ

กระตุ้นให้คนสงสัย สื่อวิเคราะห์กันไปต่างๆนานา ส่วนใหญ่หนักไปทางฟันธง

การจับขั้วใหม่ทางการเมือง

แล้วก็เป็น “เสี่ยหนู” ที่แปลูกตามน้ำ ยอมรับเต็มปากเต็มคำ เป็นฝ่ายต่อสายขอกินข้าวกับ “บิ๊กป้อม” และบนโต๊ะก็คุยกันเรื่องการเมือง ในฐานะที่นับถือ พล.อ.ประวิตรและทำงานร่วมรัฐบาลกันมา 4 ปี หากไม่มีอะไรที่ทำให้เกิดความขัดแย้งกัน ก็มีโอกาสสูงที่เราจะจับมือทำงานร่วมงานกันต่อไป

ตอกย้ำเป็นนัย รับมุกกระแสการจับขั้วภูมิใจไทยกับพลังประชารัฐ เบียดแทรกขึ้นมาประชันกับปีกของพรรคเพื่อไทย กับฟากฝั่งค่ายรวมไทยสร้างชาติ

ชัดเจนเลยว่าเป็นการเปิดยุทธศาสตร์แท็กทีมขึ้นมาวัดกับทีม “นายห้างดูไบ” ที่ประกาศแลนด์สไลด์ กวาด ส.ส.310 ที่นั่ง ขณะที่ฝั่งทีมแห่ “บิ๊กตู่” ดูท่าจะรวมแต้มไม่ติด

ในสภาพที่พรรคภูมิใจไทยก็เจอกับ “ชูวิทย์เอฟเฟกต์” สั่นสะเทือนหนัก

จังหวะเหมาะเจาะที่นายศักดิ์สยามโดนศาลรัฐธรรมนูญสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ ฤทธิ์ของจอมแฉตัวจี๊ดอย่างนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตหัวหน้าพรรครักประเทศไทย ยังไล่บี้ไล่ประจานแหลกทั้งปม “ที่ดินเขากระโดง” ความล้มเหลวของโครงการ “กัญชาเสรี” และที่กระอักคือดักพังราง “รถไฟฟ้าสายสีส้ม”

กระทบทั้ง “กระแส” และคลัง “กระสุน” ทีมเซราะกราว เลยต้องรีบหาที่ยึดเกาะก่อนลอยคอเท้งเต้ง

สถานะ “ตัวแปร” ชักไม่ปัง เลยต้องดีดลูกคิดกันใหม่ ตามสูตรการเมืองแบบไทยๆ

แต่ส่วนใหญ่มันก็เป็นแค่จับขั้วกันแบบหลวมๆเท่านั้น หลักประกันไม่ให้ตกขบวนพรรคร่วมรัฐบาล ส่วนของจริงมันอยู่ที่สถานการณ์หลังเลือกตั้ง เห็นหน้าตักกันชัวร์ๆ

รู้ตัวเลขชัดๆแล้วก็ว่ากันอีกเรื่องหนึ่ง

คำว่า “สัตยาบัน” ไม่มีอยู่ในพจนานุกรมฉบับนักการเมืองไทยอยู่แล้ว

ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ถือเป็นเรื่องปกติ สีสันการเมืองแบบไทยๆ เป็นหมากเกมชิงเสียงข้างมากในสภา เพื่อแย่งกันเป็นฝ่ายบริหาร ตามวิถีระบอบประชาธิปไตย

ทุกยุคทุกสมัยก็เห็นแบบนี้ เป็นเรื่องปกติวิสัยของ “นักเลือกตั้งอาชีพ”

แต่ที่ดูไม่ปกติ ผิดธรรมชาติ ขัดบรรยากาศการเลือกตั้งแบบไทยๆก็คือ ปรากฏการณ์ป่วนที่จังหวัดราชบุรี เหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวายที่หญิงสูงวัยชู 3 นิ้ว ตะโกนด่า “บิ๊กตู่” โจมตีการทำงานของผู้นำรัฐบาล ขณะนำคณะลงพื้นที่ตรวจราชการ พร้อมนำทีมพรรครวมไทยสร้างชาติหาเสียงเลือกตั้ง

ทำให้หน่วยรักษาความปลอดภัยประจำตัวนายกฯ และเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ต้องเข้าล็อกตัวหญิงสูงวัยดังกล่าวไปขึ้นรถตู้ตำรวจ เกิดการยื้อยุดฉุดกระชาก ลามถึงการแจ้งความดำเนินคดีทำร้ายร่างกาย

กลายเป็นข่าวใหญ่ ประเด็นร้อนวิจารณ์กันกระหึ่มเมือง

ตามท้องเรื่องที่ฝ่ายค้านทั้งพรรคเพื่อไทย ค่ายก้าวไกล ได้เหลี่ยมแท็กทีมฝ่ายต่อต้าน พล.อ.ประยุทธ์ โจมตีพฤติการณ์ผู้นำเผด็จการ ปิดกั้นการแสดงออกของผู้เห็นต่าง

ทนฟังเสียงด่าไม่ได้ จะลงเลือกตั้งไปทำไม

ในขณะที่ “บิ๊กตู่” แก้ต่างทันควัน ยืนยันเจ้าหน้าที่ไม่ได้ใช้ความรุนแรงแต่อย่างใด ในเมื่อมีพฤติการณ์ฝ่าฝืนกฎหมาย เจ้าหน้าที่จำเป็นต้องดำเนินการ

และที่แรงแหกโค้งตามฟอร์ม “พะนะทั่นแรมโบ้” นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ที่ปรึกษานายกฯ แกนนำค่ายรวมไทยสร้างชาติ ฟันธงเปรี้ยงเลยว่า มนุษย์ป้าขาป่วนเป็นติ่ง “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” แกนนำทีมก้าวหน้า จงใจดิสเครดิต พล.อ.ประยุทธ์

ลากมาตรงจุดเผชิญหน้า ความขัดแย้งระหว่างขั้ว

ขณะเดียวกัน มันก็ไม่น่าใช่เรื่องบังเอิญ เพราะก่อนหน้านั้นก็เพิ่งเกิดเหตุการณ์ที่พรรคก้าวไกลเปิดเวทีโชว์ตัวผู้สมัคร ส.ส.กทม.แล้วโดนฝ่ายต่อต้านบุกถือป้ายโจมตี

ยุทธการดิสเครดิตในระยะประชิดคล้ายๆกัน

แต่ในอารมณ์แบบที่ “ช่อ” พรรณิการ์ วาณิช แกนนำคณะก้าวหน้า สวมหัวใจสิงห์ บุกเข้าจ่อไมค์ถามม็อบแบบซึ่งๆหน้า ขอให้อ่านป้ายที่ถืออยู่ ปรากฏว่า อ่านไม่ออก

บ่งบอกเป็นนัยตั้งเครื่องหมายคำถาม ถูกใครใช้เป็นเครื่องมือ

หรือกับเหตุการณ์แนวบู๊ๆที่เกิดกับ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ที่เปิดวิวาทะกับชายหัวเกรียนใส่เสื้อวินมอเตอร์ไซค์อย่างดุเด็ดเผ็ดร้อน ระหว่างลงพื้นที่หาเสียงย่านตลาดวังหลังศิริราช เขตบางกอกน้อย กทม.

อารมณ์แบบที่นายสมชัย ศรีสุทธิยากร ในฐานะลูกพรรคเสรีรวมไทย โพสต์เลยว่า “ดีนะที่ท่านไม่เตะก้านคอ” พร้อมตั้งข้อสังเกตเป็นนัย ฟอร์มนี้มาแล้ว ทรงเกรียนอย่างแบด เหตุการณ์ทำนองนี้อาจเกิดบ่อยขึ้นกับทุกพรรคการเมือง ยิ่งกระแสดี ยิ่งมามาก ต้องระวัง

ฟันธงเป็นเกม “จัดตั้ง” สร้างสถานการณ์ทำลายแต้มคู่แข่ง

แนวโน้มตามรูปการณ์ ต่างฝ่ายต่างเล่นกันแรง ถึงขั้นบุกโจมตีในระยะประชิด ดิสเครดิตกันซึ่งๆหน้า

แน่นอน สิทธิเสรีภาพการแสดงออกทางการเมืองเป็นไปตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ แต่โดยวิถีธรรมชาติการเลือกตั้งแบบไทยๆที่ผ่านมาจะเป็นไปแบบถ้อยทีถ้อยอาศัย

เพราะคู่ต่อสู้ก็รู้จักกัน พวกเดียวกันทั้งนั้น จบเกมก็เลิกรากันไป

แต่รูปแบบที่กำลังเห็นอยู่ดูแล้วน่าห่วงใย ในสถานการณ์ที่แยกไม่ออกระหว่างอารมณ์ร่วมที่เลยเถิดของกองเชียร์กับ “ม็อบจัดตั้ง” ต่างฝ่ายต่างแรงมาก็แรงไป

ประเภทเอ็งทำได้ ข้าก็เอาคืนเหมือนกัน

ณ วันที่ดีกรีความขัดแย้งระหว่างขั้วการเมืองไทยยังเป็นไฟสุมขอนพร้อมระอุลุกโชนได้ทุกเมื่อ หากเป็นเกมม็อบ “จัดตั้ง” มาป่วนกันวุ่นวายลามเตลิด มันก็ไม่มีหลักประกันจะเข้าทางพวกจ้อง “จัดฉาก” ป่วนเมือง

ตามท้องเรื่องเข้าล็อก เหลี่ยมล้มกระดานเลือกตั้ง.

“ทีมการเมือง”