โดนดีเข้าจนได้ หลังโชว์ลีลาเก๋าห้าวเป้ง ไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม ร้อนแรง ดิบเถื่อนยิ่งกว่าขิง ก็ “สามสี ภูเขาทอง” ไตรรงค์ สุวรรณคีรี นี่แหละ

ขึ้นระรัวลิ้นบนเวทีปราศรัยใหญ่ รทสช. แดนดินถิ่นเกิดเมืองย่าโมของ “บิ๊กตู่” ประยุทธ์ จันทร์โอชา

ไม่รู้จะเป็นกลอนพาไป หรือฤทธิ์ Tannin ขององุ่น

ขนาดชื่อพรรคยังพูดผิดพูดถูก จนกลายเป็นไวรัลตลกขบขันอยู่ใน TikTok

แต่มันมีประเด็นมาเข้าง่ามแข้ง “นักร้องการเมือง” ศรีสุวรรณ จรรยา

มีเรื่องให้ร้องต่อกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพราะปราศรัยโยงเอาสถาบันมาเกี่ยวข้องกับการหาเสียงเลือกตั้ง

ขอให้สอบว่าเข้าข่ายฝ่าฝืนกฎหมายเลือกตั้งหรือไม่

“ศรีสุวรรณ” ยกระเบียบ กกต.ว่าด้วยวิธีการหาเสียง และลักษณะต้องห้ามในการหาเสียงเลือกตั้ง ส.ส. ข้อ 17 ที่ “ห้ามผู้สมัคร พรรคการเมือง หรือผู้ใดนำสถาบันพระมหากษัตริย์มาเกี่ยวข้องกับการหาเสียงเลือกตั้ง”

ประกอบ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 73 (5)

ที่ห้ามมิให้ผู้สมัคร หรือผู้ใดกระทําการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ลงคะแนนให้แก่ตนเอง หรือผู้สมัครอื่นด้วยวิธีการจูงใจให้เข้าใจผิด ในคะแนนนิยมของผู้สมัคร หรือพรรคการเมือง

เชื่อว่าสุดท้ายก็คงไม่มีผลอะไร เพราะเส้นกวยจั๊บขนาดนั้น

แต่ก็เหมือนก้อนกรวดในรองเท้า ร้องให้รู้สึกรำคาญใจเล่นๆ

ก็ไม่รู้ว่าเป็นความบังเอิญจงใจหรือไม่ ที่ “บิ๊กป้อม” ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้า พปชร. ร่อนจดหมายเปิดใจ ฉบับที่ 3 มาในช่วงเวลานี้พอดี

พูดถึงเหตุผลว่า ทำไมต้องก้าวข้ามความขัดแย้ง

...

พร้อมกับตอกย้ำในจดหมายเปิดใจ ที่ยังไม่หยุดการเมืองกลับไปใช้ชีวิตสบายๆ ก็เพราะไม่ต้องการทิ้งเพื่อนพ้องน้องพี่ที่ร่วมสร้างพรรคพลังประชารัฐ ที่ยังมีความฝันอยู่เต็มเปี่ยม

และเบื้องลึกในใจ ที่ตัดสินใจทำงานการเมืองต่อ ก็ด้วยคิดว่าจะทำประโยชน์คลี่คลายปัญหาให้ประเทศ เดินหน้าไปสู่ความสดใส

พร้อมขยายมุมมองต่อกลุ่มอีลิต กลุ่มผู้ทรงอิทธิพล ต่อความเป็นไปของบ้านเมือง

ทั้งจากมุมที่ “บิ๊กป้อม” ถูกหล่อหลอมมาตั้งแต่เป็นนายทหารเด็กๆ จนขึ้นเป็นผู้บัญชาการเหล่าทัพ ให้จงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

กลุ่มอีลิตเหล่านี้ มองนักการเมืองด้วยความไม่เชื่อถือ ไม่เชื่อมั่น ลามไปถึงความข้องใจต่อระบอบประชาธิปไตย และวิจารณญาณของประชาชน ในการเลือกตัวแทนเข้ามาบริหารประเทศ

จึงเห็นดีเห็นงามกับการหยุดยั้งประชาธิปไตย

แต่พอเข้ามาทำงานร่วมกับนักการเมือง จนขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรค เลยมีมุมมองอีกด้าน

เพราะที่สุดแล้วอำนาจการบริหารประเทศต้องกลับเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตย

โดยผู้ที่มีอำนาจตัดสินก็คือประชาชน

ความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ ก็คือ ฝ่ายอำนาจนิยม จะพ่ายแพ้ต่อฝ่ายประชาธิปไตยเสรีนิยมทุกครั้ง

ใครมีเวลา ก็ไปหาอ่านในรายละเอียดเอา

ผมอ่านไปอ่านมาก็น้ำตาไหลพราก...ไม่ได้ซึ้ง

เพียงแต่คิดว่า “ลุง” ทำไมเพิ่งมานึกได้เอาป่านนี้.

เพลิงสุริยะ