เข้าสู่สัปดาห์แรก ธันวาคมเดือนสุดท้ายปลายปี ห้วงเวลาของการสะสางภารกิจ ปิดงานก่อนเข้าสู่เทศกาลแห่งความสุขส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่
นับอีกไม่กี่อึดใจก็จะครบเทอมสภาในต้นปีหน้า รัฐบาลภายใต้การนำของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว.กลาโหม จะครบอายุ 4 ปีเต็มในเดือนมีนาคม 2566
ตามเงื่อนเวลาบวกลบ อย่างไรเสียการเลือกตั้งใหญ่ก็ใกล้เข้ามาทุกขณะ
ล่าสุดเกิดความชัดเจนเรื่องกติกา เมื่อศาลรัฐธรรมนูญ โดยมติฟันธงร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ไม่ขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ
นั่นหมายถึงการการันตีสูตรปาร์ตี้ลิสต์หาร 100 บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ
และโดยอัตโนมัติ นักเลือกตั้งอาชีพก็เข้าสู่โหมด เตรียมตัวเลือกตั้งเต็มรูปแบบ อย่างที่ฝ่ายค้าน พรรคเพื่อไทยประกาศเริ่มต้นฤดูกาลรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง
ชิงจังหวะกติกาเข้าทาง โหมตีปี๊บแลนด์สไลด์
ตามสภาพพรรคการเมืองใหญ่ได้เปรียบทุกประตู ทั้งฐานเสียง กระแส และแรงดึงดูด โดยเฉพาะเต็งหนึ่งอย่างค่ายเพื่อไทย ที่แม้แต่หัวขบวนฝ่ายต่อต้านอย่าง นพ.ระวี มาศฉมาดล ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคพลังธรรมใหม่ ยังแทงเต็งว่าทีมนายห้างดูไบโกยแต้มทิ้งขาดแน่
...
ส่ออาการยอมยกธงขาวตั้งแต่หัววัน
นั่นยิ่งเพิ่มแรงดึงดูด ทำให้ลูกหาบพรรคเพื่อไทย ไม่มีใครกล้าชิ่งหนี “นายห้างดูไบ”
ตรงกันข้ามกับพรรคเล็กที่ต้องดิ้นหาพื้นที่ยืนสู้ โดยเฉพาะพรรคใหม่ป้ายแดงที่ต้องออกแรงมากกว่าป้อมค่ายเก่า 3-4 เท่า ในการแชร์ส่วนแบ่งการตลาด
โอกาสอยู่ที่การควบรวมกิจการ เบ่งพรรคให้มีขนาดใหญ่ขึ้น
นั่นคือเหตุผลใหญ่ที่การผนึกค่ายตระกูล “สร้าง” การรวมพรรคระหว่างพรรคสร้างอนาคตไทย ภายใต้การนำของนายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรค กับค่ายไทยสร้างไทย ภายใต้กำกับของ “เจ๊หน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์
ผ่านตัวเชื่อมสำคัญคือนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกฯมือเศรษฐกิจ
เสริมพลังเดินหน้าภารกิจพรรคการเมือง “ขั้วกลาง”
ผู้เล่นในสนาม ต้องปรับตัวตามกติกา เพื่อโอกาสชนะ
แต่ที่ร้อนแรงยามนี้ สปอตไลต์ฉายส่องไปที่ยี่ห้อใหม่อย่างค่ายรวมไทยสร้างชาติ ตามสถานะอย่างไม่เป็นทางการ คือกองกำลังหามแห่ “บิ๊กตู่” เบิ้ลเก้าอี้นายกฯรอบสาม
กับไฟต์บังคับต้องปั่นแต้มหน้าตักให้ได้ ส.ส.เกิน 25 ที่นั่ง เพื่อสิทธิในการเสนอชื่อนายกฯในบัญชีพรรค
นั่นจึงได้เห็นฉากการเริ่มหักกันแรงๆ
ยุทธการยื้อแย่งลูกหาบระหว่างค่ายพลังประชารัฐ ภายใต้การนำของ “บิ๊กป้อม” พล.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ หัวหน้าพรรค พปชร.กับทีม “รวมไทยสร้างตู่”
“น้องเล็ก” หันมาตกปลาในบ่อพี่ หลังจากแอบตกปลาในบ่อเพื่อน
ค่ายรวมไทยสร้างชาติโชว์พลังดูดเหนือป้อมค่ายใหม่ด้วยกัน ถึงขั้นที่ทำเอาพรรคประชาธิปัตย์ซูบซีด ลูกพรรคชิ่งหนี เลือดไหลออกทะลัก
แต่การจะหักด่าน “บิ๊กบราเธอร์” ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
ตามรายงานข่าวแบบที่ “พี่ใหญ่” สั่งไล่เช็กชื่อ ส.ส.รายก๊วน จี้ถามรายแก๊ง รีบเปิดปฏิบัติการ “ล้อมคอก” ทั้งกลุ่มสามมิตรของ “สมศักดิ์ เทพสุทิน-สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” ทีมกำแพงเพชรภายใต้การนำของ “วราเทพ รัตนากร” กลุ่มเมืองมะขามหวานของ “สันติ พร้อมพัฒน์” และก๊วนปากน้ำของ “ชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม”
ณ วันนี้ยังเคลมได้ว่า ปักหลักอยู่กับ “บิ๊กป้อม”
“พี่ใหญ่” ปิดบ้าน ไม่ยอมให้ “น้องเล็ก” ตีท้ายครัว
ในสถานการณ์ที่ “ไผ่แยกกอ” ถึงจุดที่ปฏิเสธยังไงคนก็ไม่เชื่อ ทีมทหารเฒ่า “แตกคอ” ลดระดับความเกรงอกเกรงใจลงตามสายสัมพันธ์ที่ไม่ปึ้กเหมือนวันวานที่คบกันมา 40-50 ปี
บนพื้นฐานของเกมอำนาจและผลประโยชน์
สถานการณ์บังคับให้ “บิ๊กตู่” กับ “บิ๊กป้อม” ต่างฝ่ายต้องสร้างฐานพลัง ระดมกองกำลัง ส.ส.หามแห่สู่เป้าหมายปลายทางในการชิงตำแหน่งผู้นำ
เกมเปิดให้ชิงตั๋วไปต่อ ใครดี ใครได้
ณ จุดที่ “พี่ใหญ่” มีไม้ตายอยู่ในมือ อาวุธลับที่ซัดผ่านองค์กรอิสระ ทั้งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ไปยันคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)
เอาไว้ขู่ เตรียมไว้ฆ่า พวกแปรพักตร์
ขณะที่ “น้องเล็ก” ก็มีมีดสั้นพร้อมซัดใส่พวกที่ขวางทางไปต่อสุดซอย
แบบที่เห็นลูกโหดในยุทธการกำราบแก๊งมาเฟียมังกรจีน “ตู้ห่าว” ทำท่าส่อลามเข้าเนื้อ “ผู้กองนัส” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า คู่แค้นคู่อาฆาต สั่นสะเทือนไปถึง “บิ๊กบราเธอร์”
มันคือเกมสอยนั่งร้าน “พี่ใหญ่” ตัดกำลังกันชัดเจน
ยิ่งกว่านั้น “บิ๊กตู่” ยังมี “ของเล่น” เยอะกว่า ในมุมของการมีทั้งเก้าอี้รัฐมนตรีและงบประมาณล่อใจให้กลุ่มก๊วนต่างๆสวามิภักดิ์ ชักจูงพวกที่สู้
ให้แบบถวายหัว
ชัดๆ จากการปรับ ครม.รอบล่าสุด ตามโพยนายธนกร วังบุญคงชนะ นั่งแท่น รมต.ประจำสำนักนายกฯ นายสุนทร ปานแสงทอง รมช.เกษตรฯ และนายนริศ ขำนุรักษ์ รมช.มหาดไทย
ยกเว้นนายนริศที่มาตามโควตาพรรคประชาธิปัตย์ ส่วนนายธนกร กับนายสุนทร ก้ำกึ่งว่าได้เป็นรัฐมนตรีเพราะสายสนกลใด
ในรายของนายธนกรนั้นมองได้ เป็นความชื่นชอบส่วนตัวของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่สะดุดตากับผลงานของอดีตโฆษกรัฐบาลที่ฟาดฟันกับฝ่ายต่อต้าน
ประสานงานอย่างเข้าขากันดีกับทีม “เสธ.ตึกไทยฯ”
แต่ถ้าจะมองในมุมของนายธนกรที่เป็นคนสนิทของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม ฟันโควตาเพิ่มให้กลุ่มสามมิตรนั้นมองยังไงก็ไม่ใช่
ในสถานการณ์ที่เดาอารมณ์ได้ “เสี่ยแฮงค์” นายอนุชา นาคาศัย รมต.ประจำสำนักนายกฯ ขาใหญ่ทีมสามมิตร คงไม่แฮปปี้เท่าไหร่ ที่โดนนายธนกรมาแย่งงานในกำกับที่มีน้อยเต็มที
เหลี่ยมนี้ ถ้าจะมองในมุมเบิ้ลกันให้เห็นก็ไม่ผิดนัก
เพราะก่อนหน้านี้ก็เป็นนายสมศักดิ์ที่ประกาศจุดยืน ยันกลุ่มสามมิตรจะปักหลักกับค่ายพลังประชารัฐ เลือกอยู่ข้าง “บิ๊กป้อม” ไม่ยอมเก็บกระเป๋าย้ายตาม “บิ๊กตู่”
ก็เลยทำให้รู้ซะเลยว่า อยู่กับใครได้อยู่กับใครเสีย
ขณะที่รายของนายสุนทร ที่ประกาศตัวชัดว่าเป็นโควตาของกลุ่มปากน้ำ เป็นความกรุณาของ “เสี่ยเอ๋” นายชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม และเป็นบุญคุณของ พล.อ.ประวิตร ที่จัดให้
ทีมปากน้ำประกาศปักหลักกับ “พี่ใหญ่” ต่อไป เพราะใจถึงพึ่งได้
แต่มันก็เป็นอะไรที่ขัดๆกันอยู่ กับสถานการณ์ก่อนหน้าที่ “เสี่ยเอ๋” โดน ป.ป.ช.พุ่งชนักปักหลังคดีทุจริตเงินทอน โครงการสร้างเมรุวัดในจังหวัดสมุทรปราการ ที่อยู่ๆก็โผล่มาไล่เลี่ยๆกับภาพที่หัวขบวนทีมปากน้ำกินข้าวร่วมโต๊ะกับ “เสี่ยหนู” นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและ รมว.สาธารณสุข หัวหน้าค่ายภูมิใจไทย
อารมณ์จ่อย้ายพรรคเลยโดนพุ่งชนักปักหลัง
ใครสั่งปักชนัก ใครยกขบวนเข้าบ้านป่ารอยต่อฯ ขอให้ช่วยเคลียร์คดี ใครบอกปัดชิ่งหนี แล้วอยู่ดีๆ กลุ่มปากน้ำที่มีปมเรื่องคดี ไม่ได้อยู่ในสถานะมีอำนาจต่อรอง กลับได้สมนาคุณเก้าอี้รัฐมนตรี
งานนี้อ่านชั้นเดียวว่าเป็นโปรโมชันจาก “บิ๊กป้อม” มันอาจตื้นเขินเกินไป
แท้จริงแล้วอาจเป็น “บิ๊กตู่” ที่ซื้อใจ มัดจำกลุ่มปากน้ำล่วงหน้าก็เป็นไปได้ทั้งนั้น
ตามฟอร์มธรรมชาตินักเลือกตั้งอาชีพจะเปิดไพ่กันนาทีท้ายๆ
ที่แน่ๆ 2 ป.เปิดหน้าซัดอาวุธลับใส่กันเต็มที่ สถานการณ์ต่างกับสนามรบที่พี่กับน้องต้องสู้เพื่อเป้าหมายเดียวกัน แต่สนามการเมืองมีอำนาจและผลประโยชน์เป็นเดิมพัน
ในศึกเลือกตั้งต้องฟัดกันเต็มที่ หลังเสร็จสงครามค่อยว่ากัน
จะกลับมากอดคอกัน หรือวงแตกไปเลย.
“ทีมการเมือง”