กรณีที่เลขาธิการ กกต. แสวง บุญมี ออกโรงเตือน ส.ส.และพรรคการเมืองกระทำผิดระเบียบ กกต.ว่าด้วยการหาเสียงเข้าข่าย ผิดกฎหมายเลือกตั้งภายใน 180 วัน ก่อนที่สภาจะครบวาระในวันที่ 22 มีนาคม 2566 ซึ่งรวมถึง ครม.ในรัฐบาลชุดนี้ด้วย เพื่อให้เกิดความเสมอภาคทางการเมือง ทั้งเรื่องของการให้เงิน สิ่งของ ในช่วงน้ำท่วม การให้ประโยชน์อื่นใด หรือการติดป้ายประกาศ หรือการหาเสียงทางอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น

หากมีผู้ร้องและ กกต. พบการกระทำผิด อาจได้ ใบส้ม ถูกเพิกถอนสิทธิสมัครเลือกตั้ง 1 ปี หรือ ใบดำ ถูกตัดสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิต หรือต้องมีการเลือกตั้งใหม่กรณีได้ ใบเหลือง เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งทันทีถ้าได้ ใบแดง ต้องชดใช้ค่าใช้จ่ายในการจัดเลือกตั้งใหม่ด้วย หนักที่สุดก็คือการ ยุบพรรค การเมือง

ปรากฏว่า ฝ่ายรัฐบาล ถูกเพ่งเล็งมากที่สุด ถึงจะอ้างว่าเป็นหน้าที่หรือเป็นนโยบายของรัฐบาลก็ตาม แต่ในท้ายที่สุด แม้จะมีการร้องไปที่ กกต.ให้ทำการตรวจสอบ คำตอบก็น่าจะทราบแก่ใจกันดี โดยเฉพาะรัฐบาล ที่ มีช่องทางในการหลีกเลี่ยงระเบียบ กกต.หลายช่องทาง ไม้ตายคือ การประกาศยุบสภา เพราะเมื่อยุบสภาก็มาเริ่มต้นนับหนึ่งกันใหม่ 180 วันอันตราย ก็จะอันตรธานไปเรียบร้อย ไม่มีการผูกมัดกับการกระทำที่ผ่านมา

เมื่อโฟกัสไปที่ การยุบสภา เงื่อนไขในการลงสมัครรับเลือกตั้งก็จะมีเรื่องของ กรอบเวลา เข้ามาเกี่ยวข้อง ยุบปุ๊บ ส.ส.หาพรรคสังกัดให้ได้ใน 30 วัน ถึงจะมีสิทธิลงสมัคร และ กกต.ต้องกำหนดวันเลือกตั้งภายใน 45 วัน แต่ไม่เกิน 60 วัน ถ้าครบวาระก็มีเวลาเตรียมตัวได้ 90 วันที่จะหาพรรคสังกัดแบบสบายๆ ข้อนี้จะได้เปรียบเสียเปรียบเฉพาะการย้ายพรรคของ ส.ส.เท่านั้น ส่วนที่ไม่ต้องย้ายพรรคก็ต้องไปต่อสู้กันในพรรคว่าใครจะได้ปาร์ตี้ลิสต์ลำดับที่เท่าไหร่ ใครจะได้รับการคัดเลือกในการลงสมัครในระบบเขตไหนบ้าง กว่าจะได้เป็น ส.ส. แสนจะลำบาก ถึงต้องใช้กล้วยหลายหวี

...

มี สำนักโพล ไปสำรวจความนิยมของประชาชนในกรณีหากจะเลือกผู้นำคนใหม่ แยกเป็นฝ่ายค้านและรัฐบาล สำนักซูเปอร์โพล เข้าใจตั้งคำถามในการสำรวจความเห็นชาวบ้าน เป็นที่รู้กัน สรุปแล้วก็คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับมามีคะแนนนำร้อยละ 22.5 รองลงมาเป็น อนุทิน ชาญวีรกูล ร้อยละ 12.5 อีกฝ่าย แพทองธาร ชินวัตร มีคะแนนที่ร้อยละ 19.2 ก็ยังน้อยกว่า พล.อ.ประยุทธ์ ตามด้วย พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ร้อยละ 11.4 สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ที่ร้อยละ 10.1 และ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ร้อยละ 10 พอดี ส่วนแคนดิเดตนายกฯที่นอกเหนือจากนี้ ได้รับความนิยมไม่ถึงร้อยละ 10 ที่น่าสนใจคือ คนอยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ ทำงานเร่งแก้ไขภารกิจให้เรียบร้อย ที่ร้อยละ 35.8 และ อยากให้ยุบสภาทันที ร้อยละ 28.4 ถ้าประเมินตามโพล พื้นที่สนามการเมืองยังเป็นของ พล.อ.ประยุทธ์ ต่อไป

ก็เลยมีกระแส คลื่นใต้น้ำจากใน พลังประชารัฐ ออกมาโยนหินถามทาง พรรคควรจะเสนอ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นนายกฯมากกว่า พล.อ.ประยุทธ์ เพราะมีความชัดเจนว่า พล.อ.ประยุทธ์ ไปต่อได้แค่อีก 2 ปี ถ้าเลือก พล.อ.ประวิตร ก็ จะได้ไร้รอยต่อ แถมยังสามารถเจรจากับพรรคการเมืองในการตั้งรัฐบาลได้ทุกขั้ว ส่วนที่พลังประชารัฐจะได้เป็นของแถมติดมือกลับบ้านก็คือ ตำแหน่ง รมว.มหาดไทย ในวันที่ไม่มี พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา

ส่วนสาม ป.จะไปต่อกันอย่างไรก็อีกเรื่อง.

หมัดเหล็ก
mudlek@thairath.co.th