24ส.ค.65 สิ้นสุดการดำรงตำแหน่งนายกฯ “บิ๊กตู่” ผศ.ดร.พรสันต์ เลี้ยงบุญเลิศชัย อาจารย์สอนกฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย ขยับมุมมองชนิดฟันธง พร้อมชี้และย้ำหัวหมุดให้เห็นถึงข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายตามรัฐธรรมนูญชั่วคราว (รธน.57) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา “รับตำแหน่งนายกฯ” ตั้งแต่ “23 ส.ค.57” และใช้อำนาจปกครองบริหารประเทศตาม รธน.57ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย “บิ๊กตู่” เป็นนายกฯ ปี 57ขณะที่มีคนเริ่มนับปี 60 หรือปี 62 หลัง รธน.60 ประกาศใช้ เขามองว่า รธน.57 ไม่มี บัญญัติจำกัดวาระ 8 ปี นายกฯ จะไปเริ่มนับตรงนั้นได้อย่างไรตรงนี้อาจเป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อน ต้องเข้าใจ รธน.57 ถูกยกร่างภายใต้บริบทพิเศษหลังทำการรัฐประหาร สังเกตได้ว่ามีบทบัญญัติสั้นๆถึงการใช้อำนาจขององค์กรต่างๆใน รธน. เพราะใช้บังคับช่วงสั้นๆบทบัญญัติจำกัดวาระ 8 ปี นายกฯมันอยู่ในมาตรา 5กรณี รธน.ไม่มีบทบัญญัติใด ให้วินิจฉัยไปตามประเพณีการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมันควบถึงกฎเกณฑ์ที่นายกฯต้องอยู่ในตำแหน่งไม่เกิน 8 ปี ด้วยต่อให้ รธน.ไม่ได้เขียนเอาไว้ แต่ไม่ได้หมายถึง...มันไม่มี แต่มันอยู่ในฐานะ ประเพณีทางการเมือง หลักของ รธน.ในการค้นหาว่าอะไรคือ “ประเพณีตรงนี้” ให้วิ่งกลับไปหา “รธน.50” กำหนด วาระ 8 ปี นายกฯ ปฏิเสธไม่ได้ว่า รธน.60 ไม่ได้ยืนอยู่ด้วยลำแข้งตัวเองตั้งแต่ต้น มันถูกสร้างจากโครงสร้างตาม รธน.57 พอ รธน.60 ประกาศใช้ ก็มีบทบัญญัติกำกับวาระไม่ให้นายกฯอยู่เกิน 8 ปี มันมีมาตลอด ไม่เคยขาดตอนหลายคนพูดถึง “บทเฉพาะกาล รธน. 60” จริงๆแล้วทำหน้าที่เพียงแค่ “รับไม้ต่อ” ประเทศขาดหายจาก ครม.หรือฝ่ายบริหารไม่ได้ เพราะจะเกิดสุญญากาศทั้งหมดนี้สามารถตอบโจทย์ถึงการตีความย้อนหลังได้ด้วย โดยชี้ให้เห็นว่ามันเป็นการบังคับใช้กฎหมายตามปกติ ไม่มีเรื่องการย้อนหลังอะไรทั้งสิ้นถ้าสังเกตให้ดี การตีความตามหลักการบังคับใช้ปกติ มันไปสอดคล้องเจตนารมณ์ของผู้ยกร่างด้วยว่า เขาต้องให้นับรวมกับระยะเวลาก่อนหน้าที่ รธน.60 ประกาศใช้หากไม่ดูที่เจตนารมณ์ของ รธน. ปมเป็นนายกฯห้ามเกิน 8 ปี เริ่มนับปี 57-60-62 ล้วนมีข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายรองรับได้หมด ผศ.ดร.พรสันต์ บอกว่า ตามหลักการตีความบังคับใช้กฎหมายดูตามลายลักษณ์อักษร มันชัดเจนก็ไม่ต้องไปดูเจตนารมณ์การวิ่งไปหาเจตนารมณ์กรณีตัวถ้อยคำกำกวม ก็ไปสืบค้นเจตนารมณ์ของผู้ยกร่าง เอาเข้าจริงตามหลัก เจตนารมณ์ของผู้ยกร่างก็ไม่ได้หมายถึงถูกต้องเสมอไป สุดท้ายหลักกฎหมายมีผลเหนือเจตนารมณ์ของผู้ร่าง“การนับวาระดำรงตำแหน่งของ พล.อ.ประยุทธ์ เริ่มต้นปี 60 จบปี 68 หรือนับปี 62 จบปี 70 ขอเปรียบเปรยว่า ประหนึ่งคุณกำลังยืนยันว่า พระอาทิตย์ขึ้นทางตะวันตก เราเห็นกันอยู่ในแง่ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย เมื่อขึ้นดำรงตำแหน่งนายกฯ ภายใน รธน.57 ต้องเริ่มนับปี 57 ยังนึกไม่ออกไปเริ่มนับปี 60 หรือปี 62 ได้อย่างไรแม้มีบางคนยกกรณีมาจากการแต่งตั้งของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ไม่นับรวม ขอบอกว่าคุณกำลังเอาเรื่องที่มาของนายกฯ ปะปนกับวาระการดำรงตำแหน่งนายกฯโดยไม่ว่ามาจากการแต่งตั้งหรือเลือกตั้ง เมื่อเข้าสู่ตำแหน่งและใช้อำนาจ ในทาง รธน. เริ่มนับหนึ่งทันที”ฉะนั้น 8 ปี นายกฯ “บิ๊กตู่” ตาม รธน. ถือว่าจบ!!มีการพูดถึงนายกฯ จะยุบสภาหรือลาออก ผศ.ดร.พรสันต์ บอกว่า บางครั้งอาจคาดการณ์เร็วเกินไป แต่เป็นอีกซีเนริโอหนึ่งที่เกิดขึ้นก็เดินตามขั้นตอนตามที่ รธน. กำหนดส่วนตัวคิดว่าต้องดูที่ฝ่ายค้านยื่นคำร้องถึงประธานสภาผู้แทนราษฎร ยื่นไปยังศาล รธน. ตรงนี้บอกนัยทิศทางการเมืองได้พอสมควรจะไปต่ออย่างไรสมมติรับเรื่องแล้วมีเงื่อนไขหรือไม่ เช่น สั่งให้นายกฯหยุดปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ ถ้าสั่งหยุด!! “บิ๊กตู่” ปฏิบัติหน้าที่ต่อไม่ได้ ครม.อื่นก็ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป ถ้าไม่สั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ “บิ๊กตู่” และ ครม.ปฏิบัติหน้าที่ปกติต่อไป สมมติ “บิ๊กตู่” ปฏิบัติหน้าที่โดยปกติ ต่อมาศาล รธน.มีคำวินิจฉัยออกมาภายหลังให้พ้นจากตำแหน่ง แล้วกิจกรรมต่างๆก่อนคำวินิจฉัยถือว่ามีผลในทางกฎหมาย เพราะ รธน. กำหนดให้ถือว่ามันไม่ได้มีผลกระทบแต่ทางการเมืองเป็นอีกประเด็นหนึ่ง ถ้าจับสัญญาณหลายกลุ่มเริ่มออกมาแสดงความไม่พอใจ โดยเฉพาะกลุ่มที่เคยสนับสนุน “บิ๊กตู่” มาก่อน ตรงนี้มีนัยทางการเมือง แต่มีบางส่วนเห็นว่าต้องอยู่ต่อจนครบวาระฉะนั้นหมุดหมายสำคัญในวันที่ศาล รธน. รับคำร้องจะมีคำวินิจฉัยออกมาอย่างไร รับแล้วมีคำอธิบายต่อไปหรือไม่ว่า หยุดหรือไม่หยุดปฏิบัติหน้าที่ตรงนั้นเป็นเงื่อนไขสำคัญนับเป็นวันที่ค่อนข้างเปราะบางของสังคมดูท่าทีของผู้มีอำนาจพยายามฝืนธรรมชาติ ผศ.ดร.พรสันต์บอกว่า เมื่อ รธน.เดินหน้าไปแล้ว คุณพยายามดึงฝืนมันถอยหลังกลับมาสุดท้ายเกิดปะทะ เกิดความรุนแรงตามมาประชาชนต้องมารับความเสียหายที่เกิดขึ้นปกติศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคดีโดยใช้หลักนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ พลังอำนาจรัฐไทย ผศ.ดร.พรสันต์บอกว่า ตามหลักต้องตัดสินคดีบนพื้นฐานตัวกฎหมาย ผลวินิจฉัยกรณี 8 ปี คาดไม่เป็นเอกฉันท์แต่ตามความเห็นทางวิชาการ การตีความปี 62 ไปจบปี 70 เข้าข่ายตีความสุดโต่งไป!! คำอธิบายตามหลักการค่อนข้างยาก ถ้านับจากปี 60 จบปี 68 คำอธิบายในทางหลักการยังพออธิบายได้อยู่ ตามบริบททางการเมืองอาจสอดคล้องกับที่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ หลุดปากออกมาหรือเปล่าว่า นายกฯ จะอยู่อีก 2 ปีฉะนั้นคำวินิจฉัยออกมารูปแบบไหน ต้องอธิบายขยายความให้ชัด ให้สังคมปราศจากข้อสงสัย ต้องเป็นไปตามหลักการ ถ้าไม่อธิบายให้เคลียร์ เกรงเป็นปัจจัยหนึ่ง......นำไปสู่ความขัดแย้งรุนแรงในสังคมได้เพราะประชาชนในสังคมส่วนใหญ่เห็นว่าน่าจะพอแล้ว 8 ปีครบแล้ว ท่ามกลางความกดดันในทางเศรษฐกิจ ปัญหาต่างๆที่รุมเร้าก็อยากจะลองคนใหม่ๆมาทำการบริหารประเทศ เพื่อนำพาชีวิตของประชาชนดีขึ้น ให้หลุดพ้นจากวิกฤติต่างๆถ้าวินิจฉัยเคลียร์ น่าจะโอเคขึ้นระดับหนึ่ง แม้ไม่ถึงขั้นแก้ปัญหาความขัดแย้งในสังคมได้ เพราะเป็นปัญหาเรื้อรังมานานมากๆแต่เริ่มต้นคลี่คลายความขัดแย้งได้ระดับหนึ่งก่อนหน้านั้นมีสถิติงานวิจัยจากต่างประเทศสำรวจโลกใบนี้ประเทศไหนมีความขัดแย้งในสังคมมากน้อย แค่ไหน ดัชนีความขัดแย้งของสังคมไทย เริ่มต้นตั้งแต่รธน.50 อยู่ในระดับ 7-8 ตอนใช้ รธน.57-รธน.60 พุ่งสูงสุดเต็ม 10 ท่าทีของผู้มีอำนาจต้องการให้ศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดปม 8 ปี ผศ.ดร.พรสันต์บอกว่า พล.อ.ประยุทธ์ต้องทราบดีอยู่แล้ว เพราะ รธน. กำหนดไว้ชัดเจนฉะนั้นนายกฯคิดแค่เป็นเรื่องของตัวเอง ของพรรคการเมืองไม่ได้ ขอให้มองมุมกลับว่า การอยู่หรือไปมีผลต่อประชาชน และเป็นที่รับรู้กันว่า รธน.60 ประชาชนไม่ได้มีส่วนร่วมทางการเมืองการเมืองใน รธน.ต้องเป็น 2 ระบบทำงานคู่กันระหว่างการเมืองระดับนักการเมืองกับการเมืองระดับประชาชนที่ซัพพอร์ตกัน ถ้าแยกทำงานคู่ขนานแบบนี้ นักการเมืองไม่สนประชาชน ประชาชนไม่สนนักการเมืองเมื่อเกิดวิกฤติ รธน. สังเกตให้ดีว่า องค์กรตาม รธน.-นิติบัญญัติ-รัฐบาล-ตุลาการ เริ่มขัดแย้งกันเองสุดทายเกิดวิกฤติ รธน.นั่นคือสัญญาณอันตรายทีมการเมือง