เรื่องจากแผ่นดินจีน ชี้กวางเป็นม้า...เล่าขานกันมากว่าสองพันปี...คนรุ่นเก่ารู้ คอลัมน์นี้เล่าไปแล้วหลายครั้ง วันนี้ ผมเป็นห่วงคนรุ่นใหม่ หลายคนอาจไม่เคยรู้ จึงขอเอามาเล่าอีก

พระเจ้าจิ๋นที่หนึ่ง หรือจิ๋นซีฮ่องเต้ ยิ่งใหญ่เกรียงไกรไร้เทียมทานปานใด คงรู้กันไว้บ้าง มาถึงพระเจ้าจิ๋นที่สอง หรือฉินเอ้อซื่อ อำนาจฮ่องเต้กลับตาลปัตร (ประโยคอมตะประวัติศาสตร์จีน เหยียนมู่สุ่ย เขียน รำพรรณ รักศรีอักษร แปล สำนักพิมพ์โพสต์พับลิชชิ่ง พ.ศ.2558)

เรื่องนี้เกิดขึ้นในปีสุดท้ายของรัชกาล (ราว 200 ปีก่อน ค.ศ.) อำนาจทั้งหมดในราชสำนัก ขึ้นกับจ้าวเกา ขุนนางใหญ่ พระเจ้าจิ๋นที่ 2 ถูกกำราบให้ว่านอนสอนง่าย เป็นได้แค่ตราประทับ

วันหนึ่ง จ้าวเกาอยากทดสอบใครบ้างที่ภักดี...จึงทดลอง ด้วยวิธีแปลกใหม่...ขณะการประชุมขุนนางใกล้จบ...จ้าวเกาสั่งให้คนจูงกวางเข้ามา แล้วกราบทูลฮ่องเต้ว่า

“โปรดทอดพระเนตร ม้าตัวนี้สวยมาก เป็นของหายาก เกล้ากระหม่อมได้มาแล้ว เกล้ากระหม่อมจึงขอทูลเกล้าถวายฝ่าพระบาท”

ฉินเอ้อซื่อ ตรัสด้วยความประหลาดพระทัย “ก็เห็นอยู่ว่า เป็นกวาง ทำไมจึงบอกว่าเป็นม้า”

จ้าวเกาสีหน้าเรียบเฉย ทูลอย่างจริงจัง “ฝ่าพระบาททอดพระเนตรให้ดีๆ นี่เป็นม้าฝีเท้าเยี่ยมต่างหาก”

ฉินเอ้อซื่อสีพระพักตร์เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “ท่านเข้าใจหรือไม่ ทำไมม้ามีเขา”

จ้าวเกาได้โอกาส ชี้ไปที่ขุนนาง “หากฝ่าพระบาทไม่ทรงเชื่อ โปรดถามทุกคนที่นี่”

ความจริงขุนนางรู้สึกขบขัน พวกเขาบางคนอาจแยกกบกับคางคกไม่ออก แต่ไม่มีใครแยกม้ากับกวางไม่ออก หลายคนรู้ดีกำลังอยู่ในสนามชิงอำนาจ ปัญหาจึงไม่ได้อยู่ที่อะไรจริง อะไรเท็จ

ชำเลืองมองจ้าวเกา เจอสายตาจ้องมาอย่างวางอำนาจ ดุดัน จึงรู้ทันว่าจ้าวเกากำลังทดสอบอะไร

...

ถึงเวลานั้น ขุนนางแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกสนองรับทันที นี่คือม้า แต่อีกกลุ่มก็ละอายใจ ที่จะร่วมงานด้อยค่าฮ่องเต้...ก็บอกตรงๆว่า “นี่เป็นกวาง”

แล้วท้องพระโรงแห่งนั้น ก็เหมือนรัฐสภาบ้านเมืองยุคใหม่ ขุนนางสองฝ่ายต่างก็ยกเหตุผลมาถกเถียงกันหน้าดำหน้าแดง จนฮ่องเต้เหนื่อยล้า ทนฟังไม่ไหว สั่งเลิกประชุม

จบการประชุม ที่ดูผิวเผินว่า ไม่มีใครได้ประโยชน์ มีแต่ จ้าวเกาเท่านั้นที่ได้ไปเต็มๆ

ถึงเวลานั้นเขาก็ชัดเจน ใครเป็นมิตรใครเป็นศัตรู ฝ่ายมิตร ก็ให้รางวัล ฝ่ายศัตรู สถานเบาถูกปลด สถานหนักประหาร

เรื่องราวของจ้าวเกา สรุปเป็นสำนวนชี้กวางเป็นม้า แสดงถึงการไม่รู้จักแยกสิ่งถูกผิด กลับขาวเป็นดำ แต่เนื้อแท้แสดงความโอหังคลั่งอำนาจ ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา

บ้านเมืองที่มีขุนนางคลั่งอำนาจ และมีฮ่องเต้ไร้เดียงสาปีต่อมาก็ล่มสลาย

เกิดกบฏชาวนา หกแคว้นที่ยอมอยู่ใต้อำนาจก็แยกออกไปตั้งท่าสู้ รัชทายาทจิ๋นซีฮ่องเต้ สืบทอดอำนาจต่อได้เพียงห้าปีเท่านั้น

ใครว่า เรื่องแบบชี้กวางเป็นม้า บ้านเมืองยุคใหม่ไม่มี ผมก็ว่าไม่มี เพียงแต่พอเห็นเป็นเค้าได้บ้างล่ะกระมัง กรณี รัฐสภาล่มแล้วล่มอีก กลับตัวเลขหารห้าร้อยมาเป็นหารร้อย แล้วก็มีข่าวอีกว่าจะกลับเป็นหารห้าร้อย.

กิเลน ประลองเชิง