อุณหภูมิการเมืองโลกไต่ดีกรีระอุเดือด ถึงขั้นที่นายอันโตนิโอ กูร์เตียร์เรซ เลขาธิการสหประชาชาติ ส่งสัญญาณเตือน การตัดสินใจผิดพลาดแม้เพียง ก้าวเดียวในขณะนี้ ก็สามารถนำไปสู่หายนะจากนิวเคลียร์ได้ โอกาสที่จะเกิดสงครามปรมาณูในปัจจุบันถือว่าอยู่ในระดับสูงสุดนับตั้งแต่ช่วงตึงเครียดสุดของยุคสงครามเย็น

หัวขบวนยูเอ็นนิ่งเฉยอยู่ไม่ได้ นั่นหมายถึงอันตรายไต่ระดับถึงขีดเส้นแดง

และก็อย่างที่เห็นสถานการณ์ล่อแหลม สุ่มเสี่ยง ท้าทาย

ตามปรากฏการณ์ที่นางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎร สหรัฐอเมริกา ได้นั่งเครื่องบินเดินทางถึงกรุงไทเป ตามกำหนดการเยือนไต้หวันอย่างเป็นทางการ

เพื่อเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ในการรับรองพันธ สัญญาที่สหรัฐฯมีต่ออธิปไตยของไต้หวัน

โดยไม่สนเสียงขู่คำรามของทางการจีนแผ่นดินใหญ่

ที่แสดงปฏิกิริยาตอบโต้อย่างรุนแรงทันที ด้วยการเรียก เอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำกรุงปักกิ่ง เข้าพบผู้บริหาร กระทรวงต่างประเทศของจีน เพื่อแสดงท่าทีประท้วงและตำหนิ พร้อมออกแถลงการณ์ประณามการเดินทางเยือนกรุงไทเปของนางเพโลซี เป็นการทำลายสันติภาพและความมั่นคงในช่องแคบไต้หวันอย่างรุนแรง

...

ถือเป็นการละเมิดอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนจีนแผ่นดินใหญ่

พร้อมๆกับการส่งเครื่องบินรบทะยานขึ้นป้วนเปี้ยนเส้นแบ่งช่องแคบไต้หวัน ขณะที่กองทัพพญามังกรเดินหน้าจัดการซ้อมรบใกล้กับไต้หวัน ระหว่างวันที่ 4-7 สิงหาคม ข่มขวัญกันทันทีทันควัน

ความสัมพันธ์ระหว่างจีน-สหรัฐฯ อยู่ในภาวะตึงเครียด

ตามรูปเกม ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง จะไม่ตอบโต้ก็ไม่ได้ แม้แต่สวนกลับเบาไป ยังอาจส่งผลต่อสถานภาพผู้นำพญามังกรจีน โดนสอยร่วงเก้าอี้ได้เลย

เช่นเดียวกับประธานาธิบดีโจ ไบเดน ถ้าหน่อมแน้ม ก็จะถูกโจมตีว่ากลัวจีน ขณะที่การเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯกำลังจะเกิดขึ้น ถ้าผู้นำอเมริกันไม่แสดงความเด็ดขาดก็เสี่ยงเสียฐานเสียงแน่

ไฟต์บังคับ บีบให้ 2 ค่ายมหาอำนาจแลกหมัด สั่นสะเทือนเศรษฐกิจไปทุกทวีป

โดยเงื่อนไขสถานการณ์ซีเรียสน่าจะโยงไปถึงสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ยืดเยื้อ ไม่มีทีท่าจะจบลงง่ายๆตามแรงหนุนของประเทศมหาอำนาจที่ต่างฝ่ายต่างถือหาง เลือกข้างเชียร์กันชัดเจน

เป็นแนวรบระหว่างโลกประชาธิปไตยกับโลกคอมมิวนิสต์

ที่สำคัญต่างคนต่างมีหัวรบ “นิวเคลียร์” อยู่ในครอบครอง พร้อมที่จะกดปุ่มถล่มกันได้ตลอดเวลา

หายนะโลกเกิดขึ้นได้ทุกวินาที

หันกลับมาที่การเมืองในประเทศไทย เหมือนไม่ได้อินังขังขอบกับวิกฤตการณ์โลก ผู้นำทหารอาชีพไปยันนักเลือกตั้งอาชีพยังหมกมุ่นอยู่กับเกมยื้อแย่งอำนาจ

มุ่งอยู่แต่กับการล็อกโอกาสไปต่อบนเส้นทางผลประโยชน์

ท่ามกลางสภาพการณ์ที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว.กลาโหม ต้องเผชิญกับแรงเสียดทานหนักหน่วงขึ้นทุกขณะ

สวนทางกับความพยายามในการต่อโปรโมชัน เบิ้ลเก้าอี้นายกฯรอบ 3

ตามจังหวะมาถึงจุดต้องลุ้นด่านสำคัญ ปมการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครบ 8 ปี ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 บัญญัติไว้ห้ามรากงอกเกินเวลา

แน่นอน ถ้านับกันตั้งแต่การรัฐประหารยึดอำนาจ และ พล.อ.ประยุทธ์ ได้รับการโปรดเกล้าฯให้ดำรงตำแหน่งนายก รัฐมนตรี ในเวลาต่อมา

กำหนดเวลา 8 ปี ก็จะครบในวันที่ 24 สิงหาคมนี้

และประเมินดูจากท่าที ไม่ว่าจะเป็น “เนติบริกร” นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯฝ่ายกฎหมาย ที่แบะท่าให้คนที่ติดใจสงสัยไปร้องศาลรัฐธรรม นูญให้วินิจฉัยได้ ขณะที่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ยืนยัน “บิ๊กตู่” ยังหัวเราะสบายใจ ไม่มีอะไรต้องเครียดกับปม 8 ปี

มันเป็นอะไรที่ชัดเจน ผู้นำทหารเฒ่า 3 ป.ไม่ถอยเองแน่

และก็แน่นอน ต้องมีคนยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ ตามรูปการณ์แบบที่แนวต้านแปรรูปขบวนตามนัด 99 นักวิชาการ อาจารย์ คนดัง ร่วมลงชื่อให้ “บิ๊กตู่” ไขก๊อกจากนายกรัฐมนตรี

ล้อไปกับแกนนำม็อบไล่ผู้นำที่เริ่มก่อหวอด จุดไฟกระพือควัน

ปฏิบัติการทักท้วง “ความชอบธรรม” ของผู้นำที่นั่งเก้าอี้ มาอย่างยาวนานครบ 8 ปี มีแนวโน้มสูงที่จะจุดติดง่าย ภายใต้ อารมณ์เบื่อหน่ายของผู้คนในสังคมจำนวนมากที่อยากให้มีการเปลี่ยนแปลง

เต็มกลืนพอทนแล้วกับการคืนความสุขของ “ลุงตู่”

แต่ดูท่าจะไม่ได้ยี่หระกับขบวนการต่อต้าน ตามอาการเร่งเครื่องลุยต่อ ทีมแห่ พล.อ.ประยุทธ์ยังพร้อมเหยียบคันเร่งมิดไมล์ ประเมินได้จากความพยายามออกแบบกฎหมายลูกว่าด้วยการเลือกตั้ง

ยื้อยุดกติกาให้เข้าทางฝั่งตัวเอง ได้เปรียบมากที่สุด

กับสูตรปาร์ตี้ลิสต์ เดี๋ยวหาร 100 เดี๋ยวหาร 500 เดี๋ยวจะกลับไปหาร 100 บัตรเลือกตั้งที่แตกออกเป็น 2 ใบ ทำท่าจะรวบกลับเหลือใบเดียวเหมือนเลือกตั้งปี 2562

สถานการณ์พลิกกลับไปกลับมา นักเลือกตั้งอาชีพเองยังต้องเวียนหัว

เอาเป็นว่า กล้าเล่นกันถึงขั้น “รวมหัว” ล่มสภาตามปรากฏการณ์แบบที่นายวันชัย สอนศิริ สมาชิกวุฒิสภา แฉ ประจานดังๆพรรคการเมืองใหญ่ 2 พรรค คือ ค่ายพลังประชารัฐ กับพรรคเพื่อไทย เล่นเกมฮั้ว หวังยื้อร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งฯให้เสร็จไม่ทันกรอบ 180

เขี่ยทิ้งสูตรหาร 500 โดยอัตโนมัติ ฟื้นสูตรหาร 100 ตามร่างเดิมของ ครม.และ กกต.

วกไปวนมา กลายเป็นศึกล่อกันเองระหว่างพี่น้อง 3 ป. ตามเหลี่ยมสูตรหาร 100 เข้าทาง “พี่ใหญ่” ที่ได้ลุ้นนั่งแท่นเบอร์หนึ่งหลังเลือกตั้งรอบหน้า ภายใต้รัฐบาลผสมฮั้วข้ามขั้ว พปชร.กับเพื่อไทย

นั่นจึงเป็นที่มาของการรวมพลังล่มสภา 2 ค่ายใหญ่ผนึก ส.ว.ใต้ปีก “พี่ใหญ่” ดึงเกมเขี่ยปาร์ตี้ลิสต์สูตรหาร 500 ให้แท้ง เหมือนต้องการสกัดเส้นทางไปต่อของ “น้องเล็ก” ที่ต้องพึ่งแต้มปัดเศษของพรรคเล็ก

เก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน สานฝันทำแฮตทริกนายกฯรอบ 3

ทั้งหมดทั้งปวง สถานการณ์ที่ไม่นิ่งมันมาจากฝ่ายรัฐบาลเองที่ชักเข้าชักออก ตามแรงลมปากเป่าหูของโคตรเซียนเลือกตั้งข้างๆตัว “พี่ใหญ่-น้องเล็ก” ที่ต่างก็มีวาระแฝงไปคนละทิศคนละทาง

ไม่รู้หวังดีประสงค์ร้าย หรือหวังร้ายประสงค์ดี

แต่สิ่งหนึ่งที่สะท้อนเป้าหมายชัดๆก็คือยุทธการ “แตกแบงก์ร้อย” ที่เครือข่ายขุมอำนาจทหารเฒ่าต้องแยกกันตั้งป้อมค่ายใหม่ แตกตัวเป็น “กองทัพน้อย”

ไล่เก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน เหรียญสลึง เหรียญบาท เหรียญสิบ ไปรวมกับต้นทุนหน้าตัก “250 ส.ว.ลากตั้ง”

ตามสถานการณ์ที่ค่ายหลักอย่างยี่ห้อพลังประชารัฐ กระแสตกต่ำเรี่ยราดติดดิน กลายสภาพเป็นพรรคต่ำร้อยค่อนข้างแน่นอน

นั่นไม่เท่ากับอาการ “กินใจ” กันเองในหมู่พี่น้อง 3 ป. ที่ขบตาปลา อารมณ์ตีมึนของ “พี่ใหญ่” อย่าง “บิ๊กป้อม” ที่ไม่ยอมหลีกทาง “บิ๊กตู่” ที่พยายามเคลมเป็นหัวขบวนพปชร.หลายรอบ

กอดพุง ตบหัว ลูบหลัง แต่ก็ยังไม่สำเร็จ

สุดท้ายเป็นฝ่าย “น้องเล็ก” ที่ต้องวางแผนสร้างรังสำรอง ใช้บริการ “เสี่ยตุ๋ย” นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค กุนซือนายกฯ ไปต่อนั่งร้าน ก่ออิฐโบกปูนพรรครวมไทยสร้างชาติ

รวมดาวกระจุยทีม กปปส.และคนยี่ห้อประชาธิปัตย์ รับภารกิจแห่ “บิ๊กตู่” เบิ้ลเก้าอี้นายกฯรอบ 3 ตามสภาพไม่ต่างจาก“รถโบราณ”ที่ยกเครื่องใหม่ ไม่รู้จะวิ่งได้ไกลแค่ไหน

ขณะที่ค่าย “รวมแผ่นดิน”ที่เพิ่งตัดริบบิ้น โดยมี “บิ๊กน้อย” พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา นั่งแท่นหัวหน้า พรรค ก็สลัดคราบไม่ออกจากการถูกมองเป็นป้อมค่ายย่อยๆ ของ“บิ๊กป้อม” สำรองเผื่อมีเหตุการณ์ ฉุกเฉิน

“รวมไทยสร้าง ตู่” กับ “รวมแผ่นดินป้อม” พี่น้องแยกสายสร้างพรรคใครพรรคมัน

ตามจังหวะเชิดฉิ่งโหมโรง ป้อมค่ายการเมืองต่างๆเร่งเดินหน้าเข้าโหมดเลือกตั้ง อย่างที่เห็นค่ายเซราะกราว ภูมิใจไทย เดินหน้าล่าอาณา นิคมกวาด ต้อนบ้านใหญ่ตามหัวเมืองเข้าคอก

“พองลม” เร่งแซง ขึ้นแป้นเบอร์หนึ่งในฝั่งพรรคร่วมรัฐบาล 3 ป.

ขณะที่ค่ายประชาธิปัตย์ที่ตกอยู่ในสภาพเลือดไหลออกจนซีดไปหมด ถึงขั้นที่ “อู๊ดด้า” นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯและ รมว.พาณิชย์ หัวหน้าพรรค ต้องรีบเทกแอ็กชัน แสดงอาการคึกคักสวนกระแสแห่กันเอง ประกาศพร้อมทวงคืนฐานเก่าที่โดนเจาะจนพรุน

กลบอาการเลือดไหลไม่หยุด คนเก่าโดดหนีต่อเนื่อง

เรื่องของเรื่อง ในอารมณ์ทีมทหารเฒ่า 3 ป. กับพรรคร่วมรัฐบาลต่างมุ่งหน้าเข้าสู่โหมดเลือกตั้ง ทั้งชิงเหลี่ยมกติกาสูตรปาร์ตี้ลิสต์ เดินหน้ากวาดต้อนบ้านใหญ่เข้าเป็นอาณานิคม

อารมณ์ “ปาดหน้า” แย่งกันขึ้นแท่นเบอร์หนึ่งในศึกเลือกตั้ง รอบต่อไป

“บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม-เสี่ยหนู” ต่างอยู่ในไลน์ได้ลุ้นเฉือนคมกันเอง

แต่ทั้งหมดทั้งปวงก็ต้องไม่ลืมว่าในฐานะรัฐบาลต้องแบกภารกิจสำคัญตามสถานะของฝ่ายบริหาร ในห้วงสุญญากาศก่อนครบเทอมสภา มันก็ยังมีปมเศรษฐกิจปากท้อง ของประชาชน

เป็นงานบริหารที่ถูกเกมการเมืองกลบไปจนหมด

ทั้งๆที่ตามสภาพการณ์ย่ำแย่เต็มทน เศรษฐกิจภายในกรอบเป็นข้าวเกรียบว่าว แถมยังเจอแรงเขย่าจากความขัดแย้งการเมืองโลกกดทับซ้ำ หนักไปกันใหญ่

มันคือแรงกดทับ“บิ๊กตู่”และทีมรัฐบาลไม่อาจหลบได้ ภายใต้โจทย์โหดหิน จำเป็นต้องล็อกกติกาเลือกตั้ง เอื้อกับการไปต่อ แต่นั่นก็สวนทางกับเชิงบริหารที่คะแนนนิยมเสื่อมทรุดลงทุกขณะ

ยิ่งถ้าไม่ทำอะไรในห้วงท้ายเทอม กระแสรัฐบาลจะยิ่งแลนด์ไถลไปกันใหญ่

กติกา “เอื้อพวกเรา” ยังไง ก็ไม่อาจสู้กระแสศรัทธาประชาชน.

“ทีมการเมือง”