รวบตึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจวันแรก ตั้งแต่เปิดประชุมสภาฯ ถึงช่วงเย็น “หมอชลน่าน” เปิดญัตติ อัดสภากล้วย รัฐบาลประยุทธ์ ผิดพลาด บกพร่อง “บิ๊กตู่” สวน เอาคนเก่งกลับมาให้ได้
วันนี้ (19 ก.ค. 2565) ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีเรื่องด่วน ในญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล เป็นวันแรก โดยมี นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กับคณะ จำนวน 186 คน เป็นผู้เสนอ ซึ่งมีรายชื่อรัฐมนตรีถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ รวม 11 คน ดังนี้
1. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
2. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
3. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
4. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี
5. พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
6. นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
7. นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
8. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
9. นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง
10. นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย
11. นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
...


เริ่มต้นจากเมื่อเวลา 09.43 น. นพ.ชลน่าน ขึ้นเปิดญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ว่า ตลอดระยะเวลาร่วม 8 ปีที่ พล.อ.ประยุทธ์ บริหารประเทศในฐานะนายกรัฐมนตรี มีความผิดพลาดล้มเหลว ไม่สามารถแก้ปัญหาต่างๆ ให้กับประเทศ ไม่สามารถสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและความอยู่ดีกินดีให้กับประชาชนได้ ในทางตรงกันข้ามกลับกลายเป็นต้นตอที่ทำให้ปัญหาที่มีอยู่มีความซับซ้อน ขยายวงกว้างและรุนแรงยิ่งขึ้น ทั้งปัญหาด้านเศรษฐกิจ การเมือง อาชญากรรม ยาเสพติด การทุจริตคอร์รัปชัน ประชาชนแตกแยกแบ่งฝักแบ่งฝ่ายขยายวงกว้างขึ้น โดยเฉพาะปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันในยุคของ พล.อ.ประยุทธ์ มีสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจรั้งท้ายของอาเซียน
เป็นผลมาจาก พล.อ.ประยุทธ์ ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ไร้ภูมิปัญญา ไร้องค์ความรู้ ไร้ความสามารถ ไร้ประสิทธิภาพ ไร้จิตสำนึกรับผิดชอบ ขาดภาวะความเป็นผู้นำที่จะเป็นหัวหน้ารัฐบาล ยึดติดแต่อำนาจ ไม่เคารพหลักนิติรัฐนิติธรรม ไร้คุณธรรมจริยธรรม ทำให้การบริหารราชการแผ่นดินล้มเหลว ผิดพลาด บกพร่อง เสียหายอย่างร้ายแรงทุกด้าน ก่อหนี้มหาศาลเพื่อนำมาผลาญโดยไม่ก่อให้เกิดประโยชน์กับประเทศและประชาชน ฝ่าฝืนและไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ขาดจิตสำนึกในความเป็นประชาธิปไตย ไร้การเคารพซึ่งสิทธิเสรีภาพของประชาชน มุ่งใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือทางการเมือง ปิดปากประชาชนและปิดกั้นเสรีภาพของสื่อมวลชน ใช้งบประมาณจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ที่ไม่มีความจำเป็นในภาวะที่ประเทศมีปัญหาด้านเศรษฐกิจที่รุนแรง

จากนั้นกล่าวถึงข้อกล่าวหาของรัฐมนตรีอีก 10 คน แล้วสรุปว่า ผลจากการบริหารราชการแผ่นดินและพฤติกรรมต่างๆ ของ พล.อ.ประยุทธ์ และรัฐมนตรีรวม 11 คน ก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติอย่างใหญ่หลวง ประชาชนสูญเสียโอกาสที่จะได้คุณภาพชีวิตและหลักประกันการดำรงชีพที่ดี เดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า เกิดภาวะรวยกระจุก จนกระจาย และค่าครองชีพสูง คุณภาพชีวิตต่ำ
“พฤติการณ์ พล.อ.ประยุทธ์ ยังเป็นการเสพติดอำนาจ และยังเป็นคนไม่สนใจไยดีในการปฏิบัติตามกฎหมาย ทั้งยังเอาทหารมาแก้ปัญหาโควิดแทนหมอ ทั้งนี้ ยังมีอาการเป็นโรคหลงตัวเอง ฉันเก่งสุด มีอำนาจมากที่สุด ไม่ฟังใคร ทุกคนต้องฟังฉัน ยังมีอาการโอหังคลั่งอำนาจ”

อีกเรื่องคือ ความพังพินาศด้านการเมือง ทั้งเรื่องตั้ง ส.ว. มาแต่งตั้งตนเองเป็นนายกฯ ระบบรัฐสภาถูกทำลายอย่างย่อยยับ เป็นรัฐสภาที่สถาปนาคำว่า “สภากล้วย” ขึ้นมา เป็นการโหวตรัฐมนตรีด้วยการใช้เงินขึ้นมา ตัวเลขอยู่ที่หลักล้าน พล.ประยุทธ์ ทำลายระบบการเมืองของประเทศ จงใจเป็นปรปักษ์การปกครองในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งเรื่องนี้ถึงศาลแน่นอน
เรื่องที่อดสูที่สุด เราแบ่งแยกอำนาจไม่ก้าวล่วงซึ่งกันและกัน ฝ่ายนิติบัญญัติลงมติท่านไม่มีอำนาจก้าวล่วงมาฝ่ายนิติบัญญัติ เป็นไปได้อย่างเรื่อง เราแก้รัฐธรรมนูญจากระบบจัดสรรปันส่วนผสม คืนวันสุดท้าย หาร 100 อยู่ พอเช้าขึ้นมา หาร 500 เพราะเขารู้ว่ามีการสั่งการมาจากทำเนียบรัฐบาล และขอให้ช่วยกันเด็ดหัว ช่วยกันสอยนั่งร้าน มั่นใจครั้งนี้จะมีปาฏิหาริย์ มีใครบางคนจะโดนลงมติเป็นรัฐบาล 608 ที่หาเงินให้ประชาชนไม่เป็น รัฐบาลไม่ตายในสภาฯ แต่ท่านจะตายในสนามเลือกตั้งแน่นอน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าขณะที่ นพ.ชลน่าน กำลังอภิปราย ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา และหัวหน้าพรรคเศรษฐกิจไทย เดินเข้ามาในห้องประชุมและได้เดินไปทักทายกับ ส.ส.ฝ่ายค้านที่นั่งอยู่ จากนั้นเข้าไปดูที่นั่งของตนเองซึ่งยังอยู่ฝั่งเดียวกับพรรคร่วมรัฐบาล เมื่อเห็นดังนั้น ร.อ.ธรรมนัส จึงเดินออกจากห้องประชุมออกไป

เวลา 11.09 น. พล.อ.ประยุทธ์ ลุกขึ้นชี้แจงหลัง นพ.ชลน่าน กล่าวจบว่า ถือเป็นโอกาสอันดีที่ได้มาชี้แจงต่อสภาแห่งนี้ ที่เรียกว่าสัปปายะสภาสถาน หมายถึงสถานที่ประกอบกรรมดี ฝ่ายค้านค่อนข้างพูดรุนแรง ต้องลดทิฐิใช้ประโยชน์ประชาชนเป็นที่ตั้ง เช่นเรื่องโควิด 2 ปีที่ผ่านมาไทยเตรียมการรับมือเป็นอย่างดี มีการตั้งศูนย์บริการสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ที่หลายประเทศเอาแบบอย่างของเราไปทำตาม ขออย่ามองข้างเดียว และขอให้เกียรติกลุ่ม 608 ด้วย การประชุมในวันนี้ก็พูดซ้ำแต่เรื่องเดิม ทั้งในและนอกสภา แต่ก็พร้อมให้ความกระจ่าง และเรื่องวิสัยทัศน์ที่ตนเองคิดไม่ได้ด้อยค่าไปกว่านายกรัฐมนตรีคนอื่นๆ หรืออดีตนายกฯ บางคน

นายกฯ ไม่ได้เป็นคนที่รู้ทุกเรื่อง เก่งทุกเรื่อง ไม่ได้ฉลาดที่สุด เหมือนคนที่ท่านบอกว่าฉลาดที่สุด ตอนนี้อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ 10 กว่าปีมาแล้ว ผมไม่ใช่ตัวขัดแย้ง ขอให้ย้อนกลับไปดูพฤติกรรม ย้อนกลับไปดูความผิด ย้อนกลับไปดูคนที่ติดคุก ท่านบอกว่า 2 ปี ผมอยากอยู่ต่อ ไปดู ผมพูดหมายถึงว่าอะไร ผมพูดว่าอีก 2 ปี มันจะผลิดอกออกผลออกมา ผมไม่บอกขออยู่อีก 2 ปี คุณเอาทุกเรื่องมาตีหมดไม่ได้
“ท่านแรงมา ผมก็พยายามจะแรงให้น้อยกว่าหน่อย เพราะผมรู้อยู่แล้ว เพราะท่านต้องการให้ผมโมโห ให้เกียรติกันด้วยคำพูด ถ้าอยากได้เกียรติจากคนอื่น ก็ต้องรู้จักให้เกียรติคนอื่นเขา หากโจมตีในลักษณะให้ร้ายพูดจาส่อเสียด ผมไม่อยากจะฟังในสภาฯนี้ แต่ผมให้เกียรติสภา หลายอย่างกำลังดี กำลังแก้ไข แม้แต่ สมช. ที่ตั้งมา ท่านบอกเอาทหารมาทำอีกแล้ว ไปดูว่ามีทหารอยู่ในนั้นกี่คน หากท่านทำงานไม่เป็น ไม่รู้เรื่องตรงนี้ ท่านก็พูดอย่างที่ท่านพูด ผมก็ทราบดีว่าท่านก็คงชื่นชมหลายคนที่เคยทำงานมาก่อน ว่าดีกว่าผม ไม่เป็นไรครับ ก็เอากลับมาให้ได้ก็แล้วกัน”

จากนั้นเข้าสู่การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ซึ่งคนแรกคือ นายอนุทิน โดยเวลา 11.20 น. นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย และประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) อภิปรายเรื่องปลดล็อกกัญชาเสรี เป็นการกลัดกระดุมผิดตั้งแต่เม็ดแรก เนื่องจากผิดกฎหมายโลก ผิดกฎหมายไทย ที่หนักคือ สูบได้ทุกคน แล้วยังบอกว่าทุกคนจะรวย นโยบายนี้นายกฯ ปฏิเสธไม่ได้ เพราะเป็นนโยบายรัฐบาลไปแล้ว ผิดกฎหมายโลก เนื่องจากไทยก็ไปลงอนุสัญญาเรื่องยาเสพติดให้โทษที่ไปลงด้วยความสมัครใจ คนอาจเข้าใจผิดว่าสภาฯ เป็นผู้ปลดกัญชา แต่เป็นกระทรวงสาธารณสุขต่างหากที่ปลด ทำให้ก่อนวันที่ 9 มิ.ย. 2565 ที่ผ่านมา คนปลูกยังถูกจับ แต่หลัง 9 มิ.ย. 2565 ประกาศปลดกัญชาออกจากยาเสพติด นายกฯ ก็ไม่มีภาวะผู้นำ ถึงได้ยอมทุกอย่าง จะบอกไม่เกี่ยวข้องไม่ได้ ต้องมารับผิดชอบร่วมกันกับ นายอนุทิน
“หากท่านยังอยู่ต่อไป ผมก็ขอไม่ไว้วางใจท่าน ท่านยังต้องตอบชาวบ้านให้ได้ ปมผลประโยชน์ทับซ้อน ตอนนี้ยูเอ็นก็จะส่งคนเข้ามาตรวจสอบ อาจพัฒนาไปถึงขั้นขับประเทศเราออกจากการเป็นภาคีก็ได้ แล้วเกียรติภูมิของประเทศไทยจะเหลืออะไร”

อีกประเด็นที่สำคัญซึ่ง นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ได้ให้สัมภาษณ์ที่รัฐสภา เมื่อเวลา 12.20 น. ถึงความชัดเจนการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครบวาระ 8 ปี ว่า หากเว้นวรรคแล้วจะสามารถกลับมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้อีกหรือไม่ ได้คำตอบจากนายวิษณุ ว่า ไม่สามารถที่จะกลับมาดำรงตำแหน่งนายกฯ ใหม่ได้ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 158 ซึ่งเป็นหมวดคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีการบัญญัติไว้อย่างชัดเจน โดยวรรคท้ายเขียนไว้ว่า นายกรัฐมนตรีจะดำรงตำแหน่งรวมกันเกิน 8 ปีไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นเว้นระยะไปนานเท่าไรก็ตาม
“ชีวิตนี้ได้แค่นี้ ยกเว้นไปแก้รัฐธรรมนูญ ซึ่งก็เหมือนประเทศรัสเซียกับจีนที่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญทำให้กลับมาได้ อย่าง นายวลาดิเมียร์ ปูติน ก็มีการแก้รัฐธรรมนูญถึงได้กลับมาได้” ส่วนคำถามว่าการเมืองไทยก็มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญบ่อย นายวิษณุ ตอบว่า “ไม่มีใครเขาทำให้หรอก”


เวลา 12.48 น. ถึงคิว นพ.วาโย อัศวรุ่งเรือง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ขึ้นอภิปรายโดยมีคลิปคำพูดของนายอนุทิน ที่เคยพูด “กัญชาเป็นยาพารวย สามารถปลูกได้คนละ 6 ต้น พี้ในบ้านได้ แต่ห้ามไปข้างนอก” แล้วกล่าวว่า กัญชาไม่ใช่ยาครอบจักรวาล เพราะมีทั้งประโยชน์และโทษ หากจะนำมาพี้หรือสูบต้องมีโทษ พรรคก้าวไกลสนับสนุนกัญชาเพื่อการแพทย์ และหากกัญชาถูกกฎหมายจะทำให้มีผู้ใช้กัญชามากขึ้น มีผู้ป่วยซึมเศร้ามากขึ้น ฆ่าตัวตายมากขึ้น พร้อมโต้แย้งว่า นายอนุทิน ไม่ใช่คนที่นำมาใช้ทางการแพทย์เป็นคนแรก พร้อมตั้งข้อสังเกตว่าจงใจสร้างสุญญากาศทางกฎหมาย
“ทำไมท่านไม่แก้ไขประกาศสาธารณสุขวันที่ 8 ก.พ. ยืดระยะเวลาออกไปจาก 120 วันแค่นั้นเอง หรือหลังจากวันที่ 8 ก.พ. เห็นแล้วว่ากฎหมายผ่านไม่ทัน ท่านก็แค่ยกเลิกประกาศให้ใช้ประกาศเดิม รอจนกว่าจะมีกฎหมายควบคุมกัญชาแต่ท่านไม่ทำ”

นพ.วาโย ย้ำว่า พรรคก้าวไกลสนับสนุนการปลดล็อกกัญชาทั้งทางการแพทย์และเพื่อสันทนาการ แต่จำเป็นต้องมีการควบคุมอย่างเหมาะสม เพราะแม้กัญชาจะมีประโยชน์ในการรักษาบางโรค แต่ก็มีหลักฐานยืนยันโทษของกัญชาเช่นกัน โดยเฉพาะกับพัฒนาการของเด็กและเยาวชน สิ่งที่รัฐบาลทำไม่ได้เป็นการสนับสนุนทางแพทย์เท่าไร แต่กลับเอาชีวิตประชาชนและเด็กมาเสี่ยง ทั้งด้านเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และการทูต
เวลาประมาณ 13.35 น. ในช่วงหนึ่งที่ นายกูเฮง ยาวอหะซัน ส.ส.นราธิวาส พรรคประชาชาติ กำลังอภิปราย นายณัฐวุฒิ บัวประทุม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ลุกขึ้นประท้วงกลางที่ประชุม ว่า “ขออนุญาตประท้วงการทำหน้าที่ของท่านประธาน ท่านได้หันซ้ายหันขวาไหม ขณะนี้รัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายทั้ง 11 ท่าน ไม่อยู่ในที่ประชุมเลย และรัฐมนตรีท่านใดท่านหนึ่งใน 36 ก็ไม่ได้อยู่ ตกลงนี่ท่านไปหารือจะลาออกหรือยุบสภาหรือ พวกผมจะได้รู้ว่าพวกผมอภิปรายให้ท่านใดฟัง ขอให้ท่านประธานกำชับให้รัฐมนตรี อย่างน้อยมีตัวแทนอยู่สัก 1 ท่าน ในห้องประชุม ก็น่าจะทำให้การอภิปรายเดินหน้าไปได้ด้วยดี”

ทางด้าน นายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 ทำหน้าที่ประธานการประชุม แจงว่า นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และนายอนุทิน แจ้งก่อนจะลงไปว่าขอไปนั่งทานข้าว แต่จะฟังการอภิปรายโดยตลอด ส่วนรัฐมนตรีอื่นๆ ก็คงจะนั่งฟังการอภิปรายของพวกเราตลอด ไม่ต้องกังวล
เวลา 14.40 น. นายอนุทิน ชี้แจงหลังถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจหลายประเด็นที่เกี่ยวข้อง ว่า สถานการณ์โควิด-19 ในประเทศไทยดีขึ้นเรื่อยๆ รัฐบาลไทยดูแลผู้ป่วยรักษาโควิดทุกคน และมีการเร่งจัดหาวัคซีนให้กับประชาชน ขณะนี้ฉีดไปแล้ว 140 ล้านโดส มากกว่า 70% ของจำนวนประชากร ลดความสูญเสียชีวิตอย่างเห็นได้ชัด คนได้วัคซีน 3 เข็มขึ้นไป พบว่าไม่พบคนเสียชีวิตโดยตรงจากการติดเชื้อโควิด และยังช่วยลดอาการป่วยที่มีอาการหนัก ช่วยให้หายจากอาการป่วยภายใน 2 สัปดาห์ ไม่ว่าวัคซีนสายพันธุ์ไหน วัคซีนเชื้อตายหรือที่ไหน ยืนยันวัคซีนที่ฉีดให้คนไทย ช่วยรักษาชีวิตได้ 4.5 แสนราย หากไม่มีการฉีดวัคซีนได้ทันท่วงทีอาจมีผู้เสียชีวิตนับแสนราย

ดังนั้น ขอความกรุณาพวกท่านต้องไม่ด้อยค่าวัคซีน พร้อมยืนยันว่าไม่มีวัคซีนเหลือ รอวันหมดอายุ หรือนำไปเททิ้ง วัคซีน ประเทศไหนจะนำไปทิ้ง ตนจะนำหนังสือไปขอเพื่อนำมาฉีดให้กับคนกลุ่มอื่น หรือประเทศที่ไม่มีกำลังเพียงพอหาวัคซีนได้ แม้โรคโควิดยังอยู่ แต่ปัจจุบันรัฐบาลไม่ได้มีข้อห้ามอะไรเลย แค่ขอความร่วมมือสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ
“ข้อมูลนำเสนอเป็นเท็จครับ ท่านไม่ได้กรอง พวกผมหน้างานจะมาพูดอะไรถามแล้วถามอีกเพื่อเป็นการตรวจซ้ำ การเผยแพร่ข้อมูลออกไปสู่ประชาชน ท่านโหดร้ายนะครับ ท่านเหี้ยมโหดมากเลย ท่านแลกแม้แต่ชีวิตของพี่น้องประชาชนเพื่อตอบสนองทางการเมือง มันไม่คุ้มค่า ขอพวกท่านเว้นเรื่องสาธารณสุขสักเรื่องเถอะครับ ประชาชนยากลำบากกันมากแล้ว ขอให้เป็นเรื่องของพวกเรา อย่าไปเอาคนอื่นมาเกี่ยวข้อง ผมยินดีเปลี่ยนความขัดแย้งให้พี่น้องประชาชนของเราไม่วิตกกังวล เพราะท่านเหล่านั้นคือประชาชนของพวกเรา ที่เขาให้มาทำงานในรัฐบาลชุดนี้”

ส่วนเรื่องกัญชาเสรีทางการแพทย์ นายอนุทิน กล่าวว่า นโยบายไม่ขัดหรือแย้งอนุสัญญาเดี่ยว ที่อนุมัติกัญชามาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ได้ โดยนายกฯ ให้เน้นนำไปใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ ไม่มีคำว่าสันทนาการแม้แต่นิดเดียว ตามนโยบายรัฐบาลที่ให้สัญญากับประชาชน เน้นกัญชา กัญชง ใช้ประโยชน์การแพทย์เพื่อประชาชน หากมีการใช้นอกจากนี้เป็นการผิดกฎหมายประกาศกระทรวงสาธารณสุข ก่อนจะย้ำทิ้งท้าย ไม่มีการสนับสนุนใช้ผิดประเภท ไม่มีในเรื่องความบันเทิง นันทนาการ หรือสันทนาการ
ต่อมาเวลาประมาณ 16.45 น. นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ขึ้นอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม โดยข้อกล่าวหาคือ ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ มีพฤติกรรมใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ให้กับตัวเองและพวกพ้อง ฝ่าฝืนและไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง จงใจปฏิบัติหน้าที่และใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย เพื่อให้ตนเองมีส่วนได้รับผลประโยชน์จากโครงการต่างๆ ของรัฐ
พร้อมสรุปว่า นายศักดิ์สยาม มีพฤติกรรมในการใช้ชื่อนอมินีว่าเป็นเจ้าของธุรกิจตัวเอง แต่ความเป็นจริงยังคงเป็นเจ้าของกิจการมาตลอด ถือเป็นการปกปิดทรัพย์สิน และนำธุรกิจเข้ามาเป็นคู่สัญญากับรัฐ ซึ่งเป็นการใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย เพื่อให้ตนเองมีส่วนได้รับผลประโยชน์จากโครงการต่างๆ ของรัฐ และยังมีพฤติกรรมที่เป็นการฮั้วประมูล ถือว่าขาดคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรี

เวลา 17.15 น. นายพัฒนา สัพโส ส.ส.สกลนคร พรรคเพื่อไทย กล่าวอภิปรายต่อจาก นายปกรณ์วุฒิ ถึงการจัดสรรงบกรมทางหลวง ที่พบว่าเทงบประมาณไปที่ จ.บุรีรัมย์ มากถึง 2,421 ล้านบาท ทั้งที่เสียภาษีไม่ต่างจากจังหวัดอื่นและบางจังหวัดเสียภาษีมากกว่า ไฮไลต์คือ โครงการอำนวยความปลอดภัยสนับสนุนด้านคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ ที่ได้ไปรวม 61 โครงการ 1,160,396,500 บาท เมื่อเทียบกับทั่วประเทศ 79 โครงการ อยู่ที่ 3,364,093,600 บาท พร้อมตั้งคำถามว่าเหตุใดงบประมาณจึงไปเทอยู่ที่ จ.บุรีรัมย์ ฝากให้ นายศักดิ์สยาม รวมงบและมาตอบเรื่องนี้
“มันกระจุกตัว มันชัดเจน จะให้ผมมองอย่างไร ทฤษฎีมีเรื่องเดียวคือสมคบคิด ไม่ใช่สมคิด เชื้อคง เพราะอันนี้สมคบคิดกัน เอื้อประโยชน์ร่วมกันระหว่างกรมทางหลวง สำนักงบประมาณ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม”

เวลา 17.45 น. พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชาติ อภิปรายเป็นคนต่อไป ถึงประเด็นการทุจริตปมที่ดินเขากระโดง ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ที่เป็นบ้านพักอาศัย ของนายศักดิ์สยาม ที่ จ.บุรีรัมย์ และการถือหุ้นในกิจการ ที่ไม่พบว่ามีการชำระเงินระหว่างกัน ไม่พบมีหนี้สิน และไม่พบการเสียภาษี ซึ่งมีมูลค่าเป็นร้อยล้านบาท นอกจากนี้ ยังพบความไม่ซื่อสัตย์ในการปฏิบัติหน้าที่ กรณีงบประมาณของกรมทางหลวงชนบท จ.บุรีรัมย์ อย่างงบประมาณของ จ.นครราชสีมา ซึ่งมีประชากรมากกว่า แต่กลับจัดงบประมาณมาที่ จ.บุรีรัมย์ มีมากกว่า หรือ จ.อุบลราชธานี ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีประชากรมากกว่า ก็ยังได้งบประมาณน้อยกว่า จ.บุรีรัมย์
ทั้งนี้ในขณะที่อภิปราย นายรังสิกร ทิมาตะฤกะ ส.ส.บุรีรัมย์ พรรคภูมิใจไทย ลุกขึ้นประท้วงว่า รู้สึกหดหู่ใจ เราสู้ด้วยตัวเองมาตลอด ภาคเอกชนไม่ได้ใช้งบประมาณจากทางรัฐบาล ยืนยันว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ต่อด้วย นายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย ก็ประท้วงเช่นกันว่า อภิปรายเนื้อหาซ้ำซาก แผนที่ก็เป็นฉบับเดิมที่เคยได้เห็นมาแล้ว ก่อนที่ นายทวี จะกลับเข้าสู่การอภิปรายว่า นายศักดิ์สยาม ผิดจริยธรรม ไม่เป็นที่น่าไว้วางใจ เอางบประมาณ มากระจุกในครอบครัวตัวเอง มีการซุกหุ้น ความประพฤติไม่ซื่อสัตย์ ไร้คุณธรรม จริยธรรม ฝ่าฝืนจริยธรรมอย่างร้ายแรง เพราะเป็นที่ดินของชาติ
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมถึงกลุ่มราษฎร ที่มีการขอใช้พื้นที่รัฐสภาจัดกิจกรรม “แคมปิ้งฟังสภา จับตาอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลประยุทธ์” ระหว่างวันที่ 19-23 ก.ค. 65 โดยเป็นกิจกรรมที่จัดคู่ขนานกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภาฯ โดย ว่าที่ ร.ต.ยุทธนา สำเภาเงิน ที่ปรึกษาด้านกฎหมาย ในฐานะโฆษกประจำสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะผู้ว่าจ้างก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ยังไม่ได้รับมอบพื้นที่ตามสัญญาจ้างจาก บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) ประกอบกับระเบียบรัฐสภาว่าด้วยการบริหารจัดการพื้นที่และอาคารรัฐสภา พ.ศ. 2565 ได้กำหนดหลักการไว้ว่า ในการใช้งานพื้นที่หรืออาคารรัฐสภา จะต้องเป็นไปเพื่อการปฏิบัติหน้าที่นิติบัญญัติ หรือการบริหารราชการฝ่ายรัฐสภา ด้วยเหตุนี้ จึงยังไม่อาจอนุญาตตามความประสงค์ในขณะนี้ได้.