นายแพทย์วาโย อัด อนุทิน กัญชาไม่ใช่ยาพารวย ยกผลวิจัยชี้ หากทำให้ถูกกฎหมายจะทำให้มีผู้ใช้และป่วยมากขึ้น จงใจสร้างสุญญากาศทางกฎหมายในการควบคุมกัญชา และกำหนด KPI ให้โรงพยาบาลตั้งคลินิกกัญชา เพื่อเปิดช่องให้พวกพ้อง

วันที่ 19 กรกฎาคม 2565 เมื่อเวลา 12.48 น. ที่อาคารรัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล นายแพทย์วาโย อัศวรุ่งเรือง ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ได้ลุกอภิปราย โดยได้เปิดคลิป นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ที่กล่าวถึงเรื่องกัญชา โดยมีท่อนหนึ่งพูดว่า “กัญชาเป็นยาพารวย สามารถปลูกได้คนละ 6 ต้น พี้ในบ้านได้ แต่ห้ามไปข้างนอก”

ซึ่ง นายแพทย์วาโย ได้กล่าวถึงเรื่องกัญชาเป็นยาพารวย ว่ากัญชาไม่ใช่ยาครอบจักรวาล เพราะมีทั้งประโยชน์และโทษด้วย เพราะหากจะนำมาพี้หรือสูบต้องมีโทษ โดยพรรคก้าวไกลสนับสนุนกัญชาเพื่อทางการแพทย์ หากจะเปิดเป็นคาเฟ่ ไม่ได้คัดค้าน แต่ต้องมีการควบคุมดูแลสุขภาพทั้งคนสูบและไม่ได้สูบด้วย พร้อมระบุว่า ผลวิจัยเมื่อนำมาใช้กับโรคอัลไซเมอร์ กลับให้ผู้ป่วยย่ำแย่ลง รวมถึงการใช้เพื่อรักษาโรคอื่นๆ ที่ยังไม่มีผลยืนยันที่ชัดเจน จึงขอให้รัฐมนตรีทำเรื่องนโยบายที่ต้องมอบอย่างรอบคอบและรอบด้าน

...

ขณะเดียวกัน นายแพทย์วาโย ยังกล่าวต่อว่า หากพิจารณาในเรื่องการใช้ยาเสพติด พบว่ากัญชาส่อทำให้เสพติดได้ง่ายกว่าเหล้าและบุหรี่ พร้อมขอให้คิดคำนึงถึงเด็กและเยาวชนให้มาก เพราะเมื่อเด็กโดนพิษกัญชาจะเกิดพุทธิปัญญาที่ผิดเพี้ยน ไม่สามารถนำเอากลับมาได้ นอกจากนี้ยังกล่าวถึง World Drug Report 2022-UNODC ที่เปิดเผยว่า หากกัญชาถูกกฎหมายจะทำให้มีผู้ใช้กัญชามากขึ้น มีผู้ป่วยซึมเศร้ามากขึ้น และฆ่าตัวตายมากขึ้น พร้อมโต้แย้งว่า นายอนุทิน ไม่ใช่คนที่นำมาใช้ทางการแพทย์เป็นคนแรก



นายแพทย์วาโย ยังอภิปรายต่อว่า ขณะนี้ต้องยอมรับว่าเกิดสุญญากาศทางกฎหมาย เพราะตั้งแต่ 9 มิ.ย. 2565 กัญชาไม่มีสถานะทางกฎหมายแต่อย่างใด หลังหลุดออกจากยาเสพติดให้โทษ และกลายเป็นสมุนไพรควบคุมแทน ซึ่งเหมือนเป็นการแก้เก้อ อีกทั้งเรื่องใบอนุญาตที่กำหนดเรื่องข้อตกลง และถิ่นกำเนิดสมุนไพรที่มีระบบนิเวศตามธรรมชาติ ขอตั้งคำถามว่าจะมีประชาชนสักกี่รายที่จะขอใบอนุญาตได้ อีกทั้งยังขัดอนุสัญญาต่อความตกลงระหว่างประเทศ ที่ทำไว้ในปี 1961 ที่เสี่ยงต่อถูกนานาชาติแทรกแซง

นายแพทย์วาโย ได้ตั้งข้อสังเกตอีกว่า นายอนุทิน จงใจสร้างสุญญากาศทางกฎหมาย เพราะในระหว่างที่ปลดล็อกกัญชากัน กลับเพิ่งมีการยื่นร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชง เข้าสภาในวันที่ 26 มกราคม 2565 เมื่อเป็นร่างฯ เกี่ยวด้วยการเงินก็ต้องส่งให้นายกรัฐมนตรีในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นวันที่รัฐมนตรีประกาศปลดกัญชาออกจากยาเสพติด เมื่อนายกรัฐมนตรีอนุมัติและส่งกลับมาก็ปิดสมัยประชุมไป 3 เดือน เพิ่งจะได้บรรจุเข้าวาระปลายเดือนพฤษภาคม และรัฐสภาพิจารณาตั้งคณะกรรมาธิการพิจารณากฎหมายในวันที่ 8 มิถุนายน 2565 หรือเพียง 1 วันก่อนครบกำหนด 120 วันที่จะถอดกัญชาออกจากยาเสพติดฯ

“ทำไมท่านไม่แก้ไขประกาศสาธารณสุขวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ยืดระยะเวลาออกไปจาก 120 วัน แค่นั้นเอง หรือหลังจากวันที่ 8 กุมภาพันธ์เห็นแล้วว่ากฎหมายผ่านไม่ทัน ท่านก็แค่ยกเลิกประกาศให้ใช้ประกาศเดิม รอจนกว่าจะมีกฎหมายควบคุมกัญชาแต่ท่านไม่ทำ” นพ.วาโย กล่าว

ที่ผ่านมา นายอนุทิน ส่งเสริมการผลิตกัญชา โดยอ้างว่าเพื่อรองรับการใช้กัญชาเพื่อการแพทย์ โดยผูกให้วิสาหกิจชุมชน 1 แห่ง ทำร่วมกับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) 1 แห่งเท่านั้น และให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เป็นผู้รับซื้อ แต่สุดท้าย อย.ไม่ได้รับซื้อในจำนวนที่คาดไว้ เพราะหมอไม่ใช้ นักวิจัยไม่เขียนโครงการ จึงต้องหาช่องทางปล่อยของ

นอกจากนี้ นายแพทย์วาโย ยังได้นำเอกสารสรุปผลการตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข ปีงบประมาณ 2564 ในประเด็นกัญชาทางการแพทย์ ที่ชี้ให้เห็นความพยายามจะเพิ่มดีมานด์กัญชาเพื่อการแพทย์ เพราะมีการตั้งเกณฑ์เป้าหมายในการจัดตั้งคลินิกกัญชาทางการแพทย์ในแต่ละปี โดยภายในปี 2567 โรงพยาบาลสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สป.สธ.) และสังกัดกรมวิชาการจะต้องมีคลินิกกัญชาทั้งหมด และสถานพยาบาลเอกชนจะต้องมีคลินิกกัญชาเขตสุขภาพละ 10 แห่ง พร้อมย้ำว่าพรรคก้าวไกลสนับสนุนการปลดล็อกกัญชาทั้งทางการแพทย์และเพื่อสันทนาการ แต่จำเป็นต้องมีการควบคุมอย่างเหมาะสม เพราะแม้กัญชาจะมีประโยชน์ในการรักษาบางโรค แต่ก็มีหลักฐานยืนยันโทษของกัญชาเช่นกัน โดยเฉพาะกับพัฒนาการของเด็กและเยาวชน อีกทั้งยังระบุอีกว่า สิ่งที่รัฐบาลทำไม่ได้เป็นการสนับสนุนทางแพทย์เท่าไร แต่กลับเอาชีวิตประชาชนและเด็กมาเสี่ยง ทั้งด้านเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และการทูต.