นับเป็นตัวเต็งผู้ว่าฯ กทม.ชนิดนำโด่งจากผลสำรวจของโพลทุกสำนัก แต่กว่าจะถึง 22 พ.ค.65 วันเลือกตั้ง ยังต้องเผชิญแรงต้านจากคู่แข่งขัน

จังหวะก้าวย่างจากวันนี้เดินต่ออย่างไรถึงได้ขึ้นโล้เสาชิงช้า ไปสัมผัสมุมคิด นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. ที่เปิดใจให้สัมภาษณ์ “ทีมข่าวการเมือง”

โดยเปิด “วิสัยทัศน์ชัชชาติ” ทำกรุงเทพฯ ให้ถูกลง ให้ปลอดภัย ให้สะดวกสบาย ให้เป็นพื้นที่ของทุกคน เพื่อทำให้กรุงเทพฯน่าอยู่สำหรับทุกคน ผ่านการพัฒนา 9 มิติ 4 ปีสัมผัสได้

อาทิ 2 ปีแรกเห็นผลแล้วในด้าน กทม.ปลอดภัย สุขภาพดี ภายใน 4 ปีชาว กทม.มีสุขภาพดีขึ้น เมื่อเข้าถึงระบบสาธารณสุขที่ดีขึ้น ผ่านการดูแลสุขภาพเชิงรุก พาหมอไปหาชาว กทม.

สิ่งแวดล้อมดี อากาศดี คุณภาพน้ำดี กำจัดขยะดี เช่น ภายใน 4 ปีกรุงเทพฯเขียวขึ้นมาทันที เพราะปลูกต้นไม้ครบ 1 ล้านต้น

เรียนดี ยกระดับดูแล เพิ่มโอกาส เพิ่มเวลาให้ครู นักเรียน บริหารจัดการดี “โปร่งใสไม่ส่วย มีประสิทธิภาพ” โดยเปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วม ใช้เทคโนโลยีมาช่วยทำเป็นโอเพ่นแบงค็อก ปรับวิธีคิดการบริการจัดการ เช่น มีแอปพลิเคชันให้ประชาชนแจ้งมาที่ส่วนกลาง แอปพลิเคชันประเมิน ผอ.เขต ประเมินผู้ว่าฯ กทม.

...

เชื่อว่าการทุจริตลดน้อยลง

เพราะที่ผ่านมาให้อำนาจตัดสินใจกับคนเยอะ ข้อมูลไม่เปิดเผย เมื่อเอาเทคโนโลยีเข้ามา ทำให้ข้อมูลมันเปิดเผย สมมติเก็บภาษีป้ายเท่าไหร่ ยื่นขอตรงนี้เท่าไหร่ เวลากี่วันได้ เหตุผลที่ไม่อนุญาตคืออะไร ตรวจสอบได้ และยังเปิดให้ประชาชนเป็นแนวร่วมต่อต้านทุจริต แจ้งเบาะแสผ่านเทคโนโลยี ฉายสปอตไลต์ลงมาได้

เดินทางดี เชื่อมต่อ คล่องตัว เข้าถึงได้ ราคาถูก ราคาเดียว แม้บีทีเอสรถไฟฟ้าสายสีเขียวอันนี้ทำอะไรไม่ได้ สัญญามันไม่เปิด แต่จะทำรถเมล์เชื่อมไปบางจุดให้ชาว กทม.เดินทางสะดวกขึ้น

เศรษฐกิจดี เช่น ขยายศักยภาพเศรษฐกิจผ่าน 12 เทศกาล 50 ย่าน กระตุ้นเศรษฐกิจให้คนมาเที่ยว สร้างสรรค์ดี ทำให้ทุกเขตมีพื้นที่สาธารณะคุณภาพ คนรุ่นใหม่มีพื้นที่สร้างสรรค์คุณภาพ เปิดเวทีอภิปรายเรื่องความขัดแย้ง ประเด็นการเมือง มาแสดงสตรีทอาร์ต จะทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ สร้างพื้นที่เศรษฐกิจใหม่

นโยบายที่เปิดไปทั้งหมดทำได้จริง ไม่ขายฝัน ใช้งบฯน้อย แค่เปลี่ยนวิธีคิดก็ตอบโจทย์ชาว กทม.และประชากรแฝง รวม 10 ล้านคนและข้าราชการ ลูกจ้าง กทม.8 หมื่นคน 16 สำนัก 50 เขต บนงบประมาณ 8 หมื่นล้านบาท

และโควิด-19 ทำให้เราเห็นปัญหาประชากรแฝง ก็ต้องใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยจัดการประชากร กทม. เริ่มจากฐานข้อมูล อาสาสมัครชุมชน เอาเทคโนโลยีบริการชุมชน อัปเดตข้อมูลให้ทันสมัย เพื่อของบประมาณให้สอดคล้องกับประชากรที่ต้องดูแลในทุกด้าน

ส่วนปัญหาน้ำท่วม ปัญหาจราจร ก็มีวิธีการแก้ที่เป็นรูปธรรม ทำให้ดีขึ้นอย่างแน่นอน เช่น น้ำท่วม ต้นเหตุมาจากน้ำเหนือ น้ำทะเลหนุน น้ำท่วมทุ่ง และหนักที่สุดคือน้ำฝน มันตกปุ๊บลงท่อระบายน้ำ ลงคลอง หรือลงอุโมงค์ ระบายน้ำออกแม่น้ำเจ้าพระยา

ปัจจุบัน กทม.มีซับโฮเดอร์ 22 อัน ต้องดูดออกให้ได้ ปัญหากำลังสูบไม่พอหรือมีท่อตัน ต้องไปไล่ดูน้ำท่วมซ้ำซาก 54 จุด ปัญหาอยู่ตรงไหน มันเป็นวิทยาศาสตร์ มีต้นทาง ปลายทาง สามารถจัดการได้ ไม่ใช่ไสยศาสตร์

เศรษฐกิจโลกใบใหม่กำลังหักศอกจากยุโรป-สหรัฐอเมริกามาเอเชีย 4 ปีหลังเป็นผู้ว่าฯ กทม. จะทำอย่างไรให้กรุงเทพฯเป็นมหานครติดอันดับท็อปเทนของโลก นายชัชชาติ บอกว่า เศรษฐกิจดีเป็น 1 ใน 9 มิติพัฒนากรุงเทพฯ

กทม.ต้องหันมาดูด้านเศรษฐกิจมากขึ้น อันดับแรกกำหนดวิสัยทัศน์ให้ชัด อนาคต กทม.เป็น “ศูนย์กลางไฮเทค-ไฮทัช” เป็นศูนย์กลางอีสปอร์ต ศูนย์กลางบล็อกเชนได้ไหม

ด้านไฮเทคเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของภูมิภาค ศูนย์กลางท่องเที่ยว ศูนย์กลางสตาร์ตอัพ

ด้านไฮทัช เช่น ศิลปวัฒนธรรม อาหารการกิน ประวัติศาสตร์ เอาพวกนี้มาร้อยเชื่อมกันได้

ตอนนี้ทำศูนย์กลางท่องเที่ยวได้เลย ดึงนักท่องเที่ยวกลับมาหลังโควิด-19 ไปคุยกับรัฐบาลทำบีโอไอให้ภาคธุรกิจ ภาคการผลิต ภาคการเงิน ภาคประกัน ดึงบริษัทดีๆเข้ามา

สิ่งแรกที่ กทม.ทำ คือ ร่วมมือกับเอกชน ตั้ง “กรอ.กรุงเทพฯ” (คณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนขับเคลื่อนเศรษฐกิจ กทม.) ผุดศูนย์วันสต็อปเซอร์วิส ทุกอย่างจบจุดเดียว

“กทม.ต้องเป็นเจ้าภาพดูแล เอาจริงเอาจัง ทิศทางอนาคตของเมือง ไม่ใช่กวาดขยะ ล้างท่อ เฮ้ย!! เราจะเป็นอันดับ 1 ของภูมิภาค จะเป็นศูนย์กลางอะไร ทั้งหมดเอาไฮเทค-ไฮทัชมาร่วมกัน ซึ่งประเทศอื่นไม่มีนะ”

ทีมการเมือง ถามว่า จะประสานระหว่างรัฐบาลกับ กทม.อย่างไร เพื่อแก้ปัญหาต่างๆของ กทม. เพราะอำนาจของ กทม.มีจำกัด ไม่สามารถดำเนินการได้เบ็ดเสร็จ ที่ผ่านมามักเกิดกรณีขับเคี่ยวกันระหว่างรัฐบาลและระบบราชการส่วนกลางกับ กทม. เพื่อแย่งชิงพื้นที่และอำนาจทางการเมืองที่ทวีความรุนแรง สุดท้ายชาว กทม.ได้รับผลกระทบ

นายชัชชาติ บอกว่า เราเหมือนเป็นผู้จัดการเมือง กทม.ต้องไม่เล่นการเมือง ยึดประโยชน์ประชาชนเป็นที่ตั้ง

ใครมาเป็นรัฐบาล เราก็ทำงานและประสานได้

ขณะเดียวกัน อำนาจหน้าที่ของผู้ว่าฯ กทม.ที่มีจำกัด อย่าไปเวิ่นเว้อว่าตอนนี้ไม่มีอำนาจ ต้องทำตามหน้าที่ให้ดีที่สุดก่อน โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยกระจายอำนาจ ประเมินผู้ว่าฯ กทม. ประเมิน ผอ.เขต

ต่อไปอาจสื่อสารกับรัฐบาล เช่น สรุปปัญหาจราจรเป็นแบบนี้ ควรเอาตำรวจจราจรมาอยู่กับ กทม. มันเป็นเรื่องใหญ่ในอนาคตและต้องเข้าสภาผู้แทนราษฎร

ฉะนั้น ต้องเดินคู่ขนานกันไป ระยะปัจจุบันอยู่กับชีวิตจริง อย่าไปฝันเฟื่องว่าจะไปเอาอำนาจคืนมา และอนาคตก็ต้องแนะนำหากต้องการให้ กทม.ดีขึ้น โดยยึดประชาชนเป็นที่ตั้ง

ความสัมพันธ์ระหว่างพรรคเพื่อไทย นายทักษิณ ชินวัตรและ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ เป็นอย่างไร เพราะอาจกระทบต่อฐานเสียงที่ลงผู้ว่าฯ กทม.ในนามอิสระได้ นายชัชชาติ บอกว่า ไม่กระทบ เพราะไม่มีความสัมพันธ์

“ความสัมพันธ์กับเพื่อไทยคือเพื่อนกัน ผมลาออกจากเพื่อไทยปี 62 หลังจากเป็นแคนดิเดตนายกฯ และไม่ได้ไปเกี่ยวกับเพื่อไทยอีกปฏิเสธไม่ได้ว่าผมเคยอยู่เพื่อไทย แต่มันเป็นอดีต แล้วมีวันนี้ทางการเมืองได้ เพราะเพื่อไทยเลือกเราเป็นรัฐมนตรี ผมก็ยังมีเพื่อนในเพื่อไทย ผมก็ยังมีเพื่อนพรรคอื่นๆ ทั้งภูมิใจไทย พลังประชารัฐ

เพราะมิตรภาพมันไม่เกี่ยวกับความไม่เป็นอิสระ อิสระไม่ได้หมายความว่าจะเป็นศัตรู เราเชื่อว่าอิสระทำงานได้ดีกว่าในแง่การตัดสินใจรวดเร็ว หาพันธมิตรเพิ่ม

แต่ก็มีคนพยายามโยงผมกับเพื่อไทย มันไม่ใช่ประโยชน์เพื่อประชาชน แต่เป็นประโยชน์ทางการเมือง เรื่องความเป็นอิสระพูดหลายครั้งแล้ว แต่ก็มีคนพยายามโยง เราต้องบอกตรงๆ แบบนี้ เพราะความไว้ใจเป็นเรื่องสำคัญ

เช่นเดียวกับนายกฯทักษิณก็เป็นผู้ใหญ่ที่เรานับถือ แต่ไม่ได้คุยกันมาหลายปีแล้ว อาจมีไลน์ที่ท่านส่งมาในโอกาสตรุษจีนบ้าง เป็นไปตามปกติที่ท่านจะส่งถึงคนนั้นคนนี้

กับนายกฯยิ่งลักษณ์ก็ไม่ได้คุยกัน มีไลน์แฮปปี้นิวเยียร์ อาจมีถามถึงเรื่องลูกท่านกับลูกของผมบ้างที่อายุเท่ากัน แต่เรื่องการเมืองไม่ได้คุยกันเลย”

ออกแล้วก็คือออก เป็นอิสระจริงๆ

ผลสำรวจโพลทุกสำนักมีคะแนนนิยมนำโด่งย่อมเผชิญแรงเสียดทานการเมืองเยอะเป็นเงาตามตัว จะประคองตัวอย่างไร นายชัชชาติ บอกว่า ขอเป็นตัวของตัวเอง ทำให้ดีที่สุด โดยบอกกับทีมงานตลอดอย่าไปกังวลจะแพ้หรือชนะ เพราะการเมืองเอาแน่ไม่ได้

ตอนแรกมาดี สุดท้ายพลิกล็อกเยอะแยะ

ฉะนั้น ผลสำรวจของโพล กทม.ก็อย่างนี้แหละ อย่าไปยึดมั่นกับโพล เราแข่งกับตัวเอง แข่งกับการเสนอแนวคิดใหม่ๆ เสนอนโยบายให้ประชาชนเข้าใจปัญหา

แพ้ชนะไม่ใช่เรื่องใหญ่ แพ้ทุกคนมีทางไป ชนะก็ได้ทำงาน

เหมือนวิ่งมาราธอน 2 ปีครึ่งแล้ว อีก 30–10 วันสุดท้าย

แค่ประคองให้ถึงเส้นชัย แพ้ชนะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง.

ทีมการเมือง