เนื่องในวันข้าวและชาวนาแห่งชาติ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้แจก “ยาหอม” ชาวนาอย่างน้อยสองโอกาส ได้แก่การกล่าวปราศรัยในวันที่ 5 มิถุนายน และกล่าวยํ้าอีกครั้ง ในวันที่รัฐมนตรีเกษตรและสหกรณ์ นำชาวนาดีเด่นแห่งชาติประจำปี 2564 เข้าพบ มีข้อความตรงกันทั้งสองครั้ง
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ข้าวเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญ ที่สร้างความมั่นคงด้านอาหารของประเทศ ข้าวไทยสร้างภาพลักษณ์ในตลาดโลกอย่างน่าภาคภูมิ รัฐบาลให้ความสำคัญในการพัฒนาภาคการเกษตร ตามยุทธศาสตร์แห่งชาติ 20 ปี มีเป้าหมายช่วยให้ชาวนามีความสามารถในการผลิตและการตลาดข้าวแบบครบวงจรและมีความสุข
เห็นได้ชัดว่านายกรัฐมนตรี เชื่อมั่นว่าขณะนี้ชาวนาไทยมีความสามารถทั้งในด้านการผลิตและการตลาดครบวงจร เป็นไปตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ไม่ทราบว่านายกรัฐมนตรีพูดจากความรู้สึกที่แท้จริง หรือพูดตามบทที่มีผู้เขียนให้อ่าน เพื่อโปรยยาหอมให้ชาวนา เพราะความเป็นจริงก็คือ ชาวนาไทยสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน
นายชูเกียรติ โอภาสวงษ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย ผู้คลุกคลีอยู่กับวงการข้าวของจริง เพิ่งจะให้สัมภาษณ์สื่อเมื่อเร็วๆนี้ว่าไทยสูญเสีย ส่วนแบ่งตลาดข้าวโลกให้อินเดียเกือบหมด เพราะข้าวไทยราคาตันละ 480 เหรียญสหรัฐฯ ส่วนข้าวอินเดียตันละ 400 ดอลลาร์ และผลผลิตข้าวอินเดียพุ่ง
ปีนี้อินเดียผลิตข้าวได้มาก จึงส่งออกได้ตามเป้าหมาย 16 ล้านตัน มากกว่าปี 2563 ที่ส่งออกได้ 14.5 ล้านตัน และเป็นแชมป์โลกผู้ส่งออกข้าวมากที่สุด ขณะที่ไทยส่งออกได้ในปี 2563 ได้เพียง 5.7 ล้านตัน และคาดว่าในปี 2564 การส่งออกข้าวไทยจะลดเหลือประมาณ 4.5 ถึง 5 ล้านตัน จากที่เคยส่งออกได้ถึง 10 ล้านตัน
...
ไทยเคยครองแชมป์ส่งออกข้าวติดต่อกันหลายปี แต่ได้เสียแชมป์ให้อินเดีย และที่น่าเศร้าอย่างยิ่งก็คือ ข้าวหอมมะลิไทย ที่นายกรัฐมนตรีอาจถือว่าเป็นข้าวที่ “สร้างภาพลักษณ์ข้าวไทยในตลาดโลก” ก็ถูกข้าวหอมเวียดนามวิ่งแซงหน้าไปแล้ว เพราะเวียดนาม “วิจัยและพัฒนา” คุณภาพข้าวไม่หยุดยั้ง ส่วนข้าวไทยเน้นการปั่นราคา
ข้าวไทยจึงสูญเสียความสามารถแข่งขัน ทั้งในด้านราคาและคุณภาพ ต้นทุนการผลิตข้าวไทยสูงกว่าคู่แข่ง ผลผลิตต่อไร่ได้แค่ 450 กก. ขณะที่ข้าวเวียดนามได้ 900-1,000 กก. ข้าวอินเดีย 800 กก.ต่อไร่ เห็นได้ชัดว่าประเทศไทยไม่ได้มุ่งความสามารถในการผลิต แต่มุ่งหาเสียงด้วยการปั่นราคา.