กันยายนเดือนสุดท้าย ห้วงเวลาแห่งการเลี้ยงอำลา โดยบรรยากาศฤดูเกษียณอายุราชการ เก่าไปใหม่มา ภาวะสุญญากาศการบริหารในหน่วยราชการ หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ก็จะใส่เกียร์ว่างรอการเปลี่ยนแปลงอาการกระตือรือร้น แรงขับเคลื่อนต่างๆจะซาลงชั่วขณะตามจังหวะสวนทางกับไฟต์บังคับในเชิงบริหาร เงื่อนไขสถานการณ์ทางการเมืองของรัฐบาลภายใต้การนำของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหมกับสภาพ “เรือเหล็กปะผุ” ที่เจอสารพัดพายุโถมกระหน่ำลอยลำอยู่ท่ามกลางความเสี่ยงอับปาง สถานการณ์เปราะบาง อย่างที่ต้องรีบใส่เกียร์ถอย ผู้นำสั่งเบรกการจ่ายค่างวดเรือดำน้ำ เมด อิน ไชน่า ลำที่ 2 และ 3 ตีตกงบฯกองทัพเรือหลบพลังต่อต้านของผู้คนในยุคทุกข์ยากปากท้องจากโรคระบาดในภาวะที่ฝ่ายคุมอำนาจ “ตกหลุม” ความชอบธรรมปรากฏการณ์บีบผู้นำทหารอาชีพต้องแท็กทีมนักการเมืองอาชีพจมูกไว เร่งเกมตามน้ำ เดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญตามกระแสเรียกร้องของนักเรียน นิสิต นักศึกษา ลากญัตติเข้าไปจ่ออยู่ในสภา กระบวนการคืบไปสู่การประชุมร่วมรัฐสภาในวันที่ 23-24 กันยายน พิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 วาระแรกเจาะช่องระบายแรงดัน ผ่อนแรงกระแทกกันตามเกมแต่ก็ยังแตกคอกันในมุมของวิธีการ ตามเงื่อนไขที่ฝ่ายรัฐบาลรวมไปถึงหัวแถวฝ่ายค้านอย่างพรรคเพื่อไทยช่วยกันแห่ “ส.ส.ร.” ชูธงตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาปั้นกันใหม่ทั้งฉบับ แฝงเหลี่ยมลากยาว 2–3 ปี ขณะที่พรรคก้าวไกลแตะมือขบถรัฐบาลอย่างค่ายประชาธิปัตย์ แท็กทีมเล่นเร็วรื้อมาตรา 272 ปิดสวิตช์ “250 ส.ว.” ตัดเส้นทางลากอำนาจทีม 3 ป.ทันทีตามรูปการณ์ที่ “ขัดลำ” กันอย่างจังในเชิงผลประโยชน์ ย้อนแย้งกันตั้งแต่เงื่อนเวลาในการรื้อรัฐธรรมนูญระหว่างนักเลือกตั้งอาชีพพันธุ์เก่าที่ไม่พร้อมลงสนามเลือกตั้ง กับฝั่งของคนการเมืองพันธุ์ใหม่ ยี่ห้อก้าวไกลที่มั่นใจในพลังคลื่นลูกใหม่ นั่นไม่เท่ากับอารมณ์ของ “ส.ว.ลากตั้ง” ไม่มีทางทุบหม้อข้าวตัวเองขาดเสียงวุฒิสภา ประตูกลที่ซือแป๋มีชัยซ่อนไว้ 3–4 ชั้น ก็ยากจะเปิดได้เมื่อเกมในสภาติดล็อก มันก็ไม่แปลกที่ทีม “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” จะขี่กระแสม็อบคนรุ่นใหม่ หักเหลี่ยมยื้อ จี้คอหอยฝ่ายรัฐบาลและนักเลือกตั้งอาชีพให้รีบรื้อรัฐธรรมนูญฉบับซือแป๋มีชัย ยุบสภา เลือกตั้งใหม่เบิ้ลตามข้อเรียกร้องของนักเรียน นิสิต นักศึกษายี่ห้อก้าวไกลแปรรูปขบวนรุกนอกสภา ตีคู่ขนานไปกับเกมในสภา ในจังหวะที่แนวร่วม “ประชาชนปลดแอก” ส่งสัญญาณ “ยกระดับ” การชุมนุมขับไล่ “บิ๊กตู่”นัดดีเดย์วันที่ 19 กันยายนนี้ จ่อปักหลักปิดบัญชีทีมอำนาจ 3 ป.ดีกรีม็อบไล่รัฐบาลระอุ ล้อไปกับจังหวะดวงเมืองโคจรถอยหลัง เหล่าโหรดังในแวดวงต่างฟันธงตรงกันให้จับตาห้วงพลิกผันตั้งแต่เดือนกันยายนไปจนถึงสิ้นปี 2563ตามการเคลื่อนดวงดาว มีเค้า “เปลี่ยนแปลงใหญ่”ไล่กันตามฉากสถานการณ์มันก็ไหลเข้าตำราศาสตร์แห่งโหร ส่อหนีไม่พ้นคำทำนายยิ่งมาถึงจุดอันตราย “บิ๊กตู่” ตกอยู่ในห้วงศึกนอกประชิดซ้ำด้วยศึกในประจาน กับปรากฏการณ์ “ช็อก” ทำเนียบรัฐบาล เมื่อนายปรีดี ดาวฉาย ตัดสินใจไขก๊อก ร่อนใบลาออก จากตำแหน่ง รมว.คลัง ทั้งๆที่เพิ่งนั่งเก้าอี้ได้แค่ 20 กว่าวันมาไวเคลมไว ตดยังไม่ทันหายเหม็นเบื้องหน้าเบื้องหลัง เป็นเรื่องที่คนนอกรับรู้สถานการณ์จากข่าว เหตุมาจากอาการเหยียบตาปลากันตั้งแต่การประชุม ครม.นัดแรกประเดิมเก้าอี้ขุนคลัง รายการงัดข้อโผแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับบริหาร ที่ส่งกันคนละโพยระหว่างนายปรีดี กับนายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลังเจอลองของ ท้าประลอง “พลังภายใน” กันตั้งแต่หัววันตามรูปการณ์ที่มือบริหารอาชีพ แต่มือสมัครเล่นในวงการเมืองอย่างนายปรีดีย่อมรู้ดี ถึงสัญญาณเสี่ยงภัย ความยากลำบากในการบริหารท่ามกลางเสือ สิงห์ กระทิง แรดในดงผลประโยชน์ระหว่าง “เสธ.ตึกไทย” กับ “บ้านป่ารอยต่อฯ”รมว.คลังเป็นแค่ “นอมินี” ที่ถูกดึงเข้ามาเป็นตุ๊กตาโชว์หน้าฉาก ครม. และต้องเดินตามโพยสั่งการจากกลุ่มทุนเบื้องหลังอำนาจ 3 ป. ที่กดปุ่มซ้ายหันขวาหันมันคือกลเกมอำนาจเอื้อผลประโยชน์ทางธุรกิจไม่ต่างจากการทุจริตเชิงนโยบายที่ทำให้ “ทักษิณ ชินวัตร” โดนโค่นอำนาจ“วงจรอุบาทว์” สัมผัสได้ด้วยตัวเอง นรกเห็นอยู่ตรงหน้า แถมในอารมณ์ที่รู้กันดีว่านายปรีดีไม่ได้เต็มใจรับเก้าอี้ร้อนมาตั้งแต่ต้น เป็น “บิ๊กตู่” ที่เป็นคนตามตื๊อจนหนีไม่ออกความตามท้องเรื่อง มันบ่งบอกเหตุและผลป่วยการที่บรรดาแกนนำรัฐบาลจะดาหน้ากันออกมาเคลียร์ว่าเป็นเรื่องของสุขภาพ เบี่ยงกระแสนายปรีดีลาออกไม่ใช่เพราะปมขัดแย้งในการทำหน้าที่สังเกต นายปรีดี ไม่ได้ออกมายืนยันสำทับแต่อย่างใด หลอกคนอื่นได้ แต่โกหกตัวเองยาก จากปรากฏการณ์ช็อกทำเนียบฯของนายปรีดี มันยิ่งตอกย้ำปรากฏการณ์ก่อนหน้า เทียบกับคิวที่ “กระบี่มือหนึ่ง” ในยุทธจักรระดับนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ต้องพาทีมรัฐมนตรี “4 กุมาร” ถอนสมอออกจาก ครม.ก็น่าจะเพราะเหตุเดียวกัน ไม่ไหลตามกลเกมอำนาจเอื้อธุรกิจไม่เอาเครดิตมาค้ำประกันการเมืองเน่า แฝงทุจริตคอร์รัปชันแน่นอน การเสียมือบริหารเศรษฐกิจระดับ “สมคิด” ไปหมาดๆ แล้วยังมาซ้ำรอยด้วยคิวของนายปรีดีเพราะปมธุรกิจการเมือง เรื่องของผลประโยชน์มาก่อนหลักการบริหารมันคือ “โศกนาฏกรรม” เกมอำนาจรัฐบาล 3 ป. โดยแท้จริงโดยความเสียหาย ไม่เฉพาะแค่ “ภาวะผู้นำ” ของนายกฯที่แทบไม่เหลือ หรือลำพังความเชื่อมั่นในเชิงบริหารของรัฐบาลที่ติดลบหนักไปกันใหญ่ เท่านั้นแต่มันหมายถึงเครดิตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในสายตาต่างชาติ หรือแม้แต่นักลงทุนในไทยยากจะไว้วางใจ สถานการณ์แบบที่ รมว.คลัง ทีมเศรษฐกิจรัฐบาล พากันไขก๊อกในห้วงเวลาติดต่อกันหนีการบริหารภายใต้ผู้นำอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ชิ่งรัฐบาลที่แฝงไปด้วยอำนาจทหารแปลงสภาพผสมพันธุ์กับนักเลือกตั้งอาชีพและกลุ่มทุนสถานการณ์เสี่ยงๆเยี่ยงนี้ ไม่มีใครกล้าลงทุนแน่และตามรูปการณ์มันก็สะท้อนภาวะ “ทางตัน” จริงๆ อารมณ์แบบที่ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องขอร้องทุกฝ่ายให้เชื่อมั่นรัฐบาลทำงานได้ อย่ายึดติดกับตัวบุคคลมากนัก รมว.คลังลาออกก็ไม่มีปัญหา เพราะตนเองก็กำกับดูแลได้ในฐานะที่เป็นหัวหน้ารัฐบาล ขอให้ทุกคนมั่นใจรวมทั้งฝากไปถึงต่างประเทศด้วยว่า ไทยยังคงเดินหน้าในทุกมิติเหมือนเดิมในจังหวะไล่เลี่ยๆกับสื่อระดับโลกอย่าง “NIKKEI ASIAN REVIEW” ได้เสนอบทวิเคราะห์มุมเปรียบเทียบความสำเร็จในการผลิตเนื้องานของอดีตรองนายกฯสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ในรัฐบาล “ทักษิณ” กับรัฐบาล “ประยุทธ์” ที่แตกต่างกันฟันธง “ทักษิณ” ฉลาดเชิงธุรกิจ จึงใช้งาน “สมคิด” ได้อย่างมีประสิทธิผลมากกว่าแน่นอนมันสะท้อนถึงมุมมองในเชิงเศรษฐกิจของรัฐบาลและนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะญี่ปุ่นที่ยึดเครดิตและความสัมพันธ์ตัวบุคคลที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจมาก่อนยุทธศาสตร์ของรัฐบาลอย่างที่ “บิ๊กตู่” เข้าใจที่สำคัญในสถานการณ์ภายหลังนายสมคิดถอนตัวจากรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ มันเป็นจุดเปลี่ยนทำให้เกิดการถอนลงทุนในเมกะโปรเจกต์อีอีซี นักธุรกิจญี่ปุ่นย้ายฐานเพราะไม่มั่นใจ ไม่มี “สมคิด” เป็นมือดีลมันยิ่งเป็นปรากฏการณ์ “กดทับ” ความลำบากในการประคองเศรษฐกิจโควิด ที่ล่าสุดมีสัญญาณว่าสถานการณ์โรคระบาดกำลังเด้งกลับมารอบใหม่ในจังหวะที่ “บิ๊กตู่” โดนต้อนเข้ามุมอับ สุดทางลากอำนาจ 3 ป.ม็อบคนรุ่นใหม่ดาหน้าบุก ดวงเมืองโคจรถอยหลังต้องดิ้นหนีอาถรรพณ์ดวงดาวกันสุดแรงเกิด.ทีมการเมือง