หายใจหายคอโล่งขึ้นเป็นกอง

ตามมติล่าสุดของที่ประชุม ศบค.คลายล็อกเฟส 4 ลอตใหญ่ ให้หลายกิจการกลุ่มเสี่ยงกลับมาทำมาหากินได้

ไฟเขียวภัตตาคาร สวนอาหาร โรงแรม และร้านอาหารให้นั่งดื่มเหล้าในร้านได้ ขณะที่ศูนย์แสดงสินค้า นิทรรศการ การจัดคอนเสิร์ตให้เปิดการแสดงได้ แต่ให้จัดระเบียบ ควบคุมปริมาณคนไม่ให้หนาแน่นเกินไป พ่วงไปกับการยกเลิกเคอร์ฟิวทั่วประเทศ มีผลตั้งแต่วันที่ 15 มิ.ย.2563 เป็นต้นไป

ใกล้คืนสภาพปกติเต็มที เหลือแค่ผับ บาร์ อาบอบนวด ที่ยังถูกแช่แข็งยาว

การควบคุมการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 เริ่มสัมฤทธิผล ไม่พบผู้ติดเชื้อในประเทศมาพักใหญ่ เหลือแค่ผู้ติดเชื้อที่เดินทางมาจากต่างประเทศ อาจได้ลุ้นปลดล็อกทุกกิจการภายในเดือน มิ.ย.นี้

แต่สเต็ปถัดไปที่ต้องทำงานหนักคือการปั๊มหัวใจ ปลุกชีพจรเศรษฐกิจให้ฟื้นกลับมา

ตามการรอฉีดวัคซีนกระตุ้นเศรษฐกิจหลายเข็มในช่วงที่โควิด-19 เริ่มคลี่คลาย อาทิ งบฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม 4 แสนล้านบาท การแจกเงินท่องเที่ยว 3,000 บาท จูงใจคนไทยเที่ยวในประเทศ พ่วงไปกับการชดเชยวันหยุดสงกรานต์ที่จะเริ่มในเดือน ก.ค.เป็นต้นไป

แคมเปญฉุดเศรษฐกิจไทยพ้นปากเหวจ่อคิวรออยู่หลายแพ็กเกจ ในยามที่คนไทยต้องหันมาช่วยกันเอง ไม่สามารถพึ่งพารายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติได้

เศรษฐกิจไทยอึมครึม อยู่ในภาวะลูกผีลูกคน ต้องลุ้นกันยาวๆ จะหลุดจากวิกฤติได้หรือไม่

แต่ที่ตั้งท่าจะแย่ตามภาวะเศรษฐกิจไปด้วยคือ รอยร้าวทางการเมือง หลายพรรคเกิดภาวะฝุ่นตลบ ไม่น้อยหน้าพรรคพลังประชารัฐ

ที่ทำท่าจะหนักหนาสาหัสคือ พรรคเพื่อไทย ที่กลุ่มอำนาจเก่าอย่าง “เสี่ยอ้วน”

นายภูมิธรรม เวชยชัย ที่ปรึกษาผู้นำฝ่ายค้าน แยกตัวไปตั้งกลุ่มแคร์ เตรียมเปิดตัววันที่ 17 มิ.ย.นี้ รอโอกาสแจ้งเกิดเป็นพรรคการเมืองต่อไป

...

ดูเผินๆเหมือนเป็นทฤษฎีแตกแบงก์พันไว้กันเหนียวทางการเมือง แต่คนวงในรู้ดีว่านี่คือ ร่องรอยความขัดแย้งที่มาถึงจุดแตกหัก ระหว่าง นายภูมิธรรม กับ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ที่ขบเหลี่ยมงัดข้อกันมาตลอดในพรรค

เมื่อฝ่ายหนึ่งหมดที่ยืนก็ต้องเป็นฝ่ายไป แม้ภาพรวมไม่มีผลกระทบต่อภาวะเลือดไหลออก แต่ก็สะท้อนชัดเจนถึงอาการเครื่องรวน ความเป็นเอกภาพในพรรคที่ไม่แน่นปึ้กเหมือนเดิม

ขณะที่ค่ายประชาธิปัตย์ก็พลอยกระเพื่อมตาม ลูกพรรคบางส่วนก่อหวอดล้มอำนาจ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ลงจากหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยกเหตุบริหารพรรคล้มเหลว

เตรียมเคลื่อนไหวไล่ออกจากหัวหน้าพรรค เปลี่ยนทีมผู้บริหารชุดใหม่ตามรอยพรรคพลังประชารัฐ ทำท่าเลยเถิดไปถึงการปรับ ครม.ในพรรค

ระดับรุ่นเดอะ ชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ผู้อาวุโสในพรรค ต้องออกมาเตือนสติขอให้นึกถึงบุญคุณพรรค อย่าทำให้พรรคเสียหาย โร่หย่าศึก สกัดภาวะเลือดทะลักซ้ำรอย

ดูแนวโน้มคงก่อการไม่สำเร็จ เพราะกำลังพลไม่เพียงพอแต่ก็เสียรูปมวยไปเยอะ แผลในใจสมานไม่ติด พร้อมเลื่อยขากันได้ตลอด

แต่ที่ดูทุเลาลงไปคือ ต้นตำรับความขัดแย้งอย่างพรรคพลัง-ประชารัฐ ที่ความคุกรุ่นในพรรคทำท่าสงบลงชั่วคราว ภายหลัง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ประกาศ

ชัด ยังไม่ปรับ ครม. ปรามพวกชอบวิ่งเต้นไม่ต้องเสนอตัวเป็นรัฐมนตรี

เบรกศึกชิงอำนาจให้จบแค่ในพรรค ไม่ให้ลามมาถึงเก้าอี้ ครม.

ทีม 4 กุมารของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ได้พักหายใจยาว รอ “ลุงตู่” ทุบโต๊ะชี้ขาดจะเสียเก้าอี้ ครม.เพิ่มหรือไม่ นอกเหนือจากหัวโขนกรรมการบริหารพรรคที่ถูกถอดแน่ๆ

รอเลือกกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ วันที่ 3 ก.ค.2563 แล้วค่อยมาปล่อยของกันต่อ

ฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน พากันระส่ำระสายล่อกันอุตลุดในพรรค

เปิดศึกชิงอำนาจแย่งกันเป็นใหญ่ ไม่สนใจภาวะความเป็นความตายทางเศรษฐกิจที่กำลังร่อแร่จากการสู้สงครามเชื้อโรค

ตามสูตรสำเร็จการเมืองไทยที่ต้องแชร์อำนาจกันให้ทั่วถึง เกาะกลุ่มกันโดยมีผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นตัวตั้ง ส่วนประชาชนถูกมองเป็นเรื่องรอง ไม่คิดพาการเมืองไทยเข้าสู่ยุค New normal

ถ้าบริหารผลประโยชน์ไม่ลงตัวก็ต้องพังกันไปข้าง!!!

ทีมข่าวการเมือง