พระศุกร์เข้า พระเสาร์แทรก เคราะห์ซ้ำกรรมซัด
ตามฉาก “มิคสัญญี” ในประเทศสหรัฐอเมริกา ที่กำลังเผชิญม็อบอาละวาดจากชนวนที่ตำรวจทำร้ายคนผิวสีจนเสียชีวิตระหว่างจับกุม การประท้วงลุกลามไปหลายรัฐจนทางการควบคุมไม่อยู่ ยกระดับรุนแรงถึงขั้นปล้นสะดม ประชาชนต้องพกปืนป้องกันตัวเอง อยู่ด้วยความหวาดผวา
ในขณะที่การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ก็ยังหนักหน่วงรุนแรง ไม่คลี่คลาย ยอดคนอเมริกันป่วยตายยึดแท่นอันดับหนึ่งของโลก เศรษฐกิจบักโกรกเสียหายย่อยยับ
วิกฤติซ้อนวิกฤติ โดยที่ “คาวบอย” อย่างประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” ยังซ่า ปะฉะดะไปทั่ว
อเมริกันชนเริ่มหมดความเชื่อมั่นในตัวผู้นำที่บ้าบิ่นเกินขอบเขต
เทียบกับประเทศไทย ผู้นำอย่าง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ที่ถูกมองว่าบุคลิกคล้ายคลึงกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ แต่ถึงจังหวะคาบลูกคาบดอก บ้านเมืองเผชิญภัยพิบัติ
รัฐดูแลปกป้องประชาชนอย่างดี ผู้นำไม่ห่ามท้าความเป็นความตาย
ณ จุดนี้พูดได้ว่า “บิ๊กตู่” โชว์ภาวะผู้นำ คุมทัพชนะสงครามโควิด ทำให้ประเทศไทยอยู่ในโซนปลอดภัย
ตามที่นายกฯประกาศให้ความมั่นใจ เราจะรอดไปด้วยกัน
โดยสถานการณ์ “บิ๊กตู่” คุมไวรัสโควิด-19 อยู่ ได้คะแนนเต็ม แต่ที่ส่อเอาไม่อยู่ พล.อ.ประยุทธ์โดนตัดแต้มหายไปก็คือไวรัสการเมืองที่แทรกซ้อนขึ้นมาในภาวะวิกฤตการณ์ไวรัสมรณะยังไม่ทันจาง
ผู้นำทรงตัวได้นิ่ง แต่นักการเมืองดัน “เพี้ยน” ซะอย่างนั้น
...
ตามปรากฏการณ์ “ฟัดกันชามข้าวกระจาย” ภายหลังการพิจารณาร่าง พ.ร.ก.เงินกู้ 1 ล้านล้านบาทและ พ.ร.ก.ที่เกี่ยวข้องกับการฟื้นฟูระบบเศรษฐกิจจากวิกฤติโควิดมูลค่า 9 แสนล้าน ผ่านสภาแค่ข้ามวัน
ก็มีการยึดอำนาจ โละผู้บริหารค่ายพลังประชารัฐทันควัน
โดยนายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ แถลงข่าวใหญ่ โชว์รายชื่อ 18 กรรมการบริหารพรรค อันประกอบไปด้วย 1.นายสันติ พร้อมพัฒน์ 2.นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ 3.นายสุพล ฟองงาม 4.ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า 5.นายบุญสิงห์ วรินทร์รักษ์ 6.นายไผ่ ลิกค์1
7.นายนิโรธ สุนทรเลขา 8.นายสัมพันธ์ มะยูโซ๊ะ 9.นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ 10.นายพุฒิพงษ์ ปุณณกันต์ 11.นายชาญวิทย์ วิภูศิริ 12.นายสกลธี ภัททิยกุล 13.นายสัมฤทธิ์ แทนทรัพย์ 14.นายสุรชาติ ศรีบุศกร 15.นายนิพันธ์ ศิริธร 16.นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ 17.นายสมศักดิ์ เทพสุทิน 18.นายพงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ
ชิงปิดเกมเร็วเพื่อบีบนายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง พ้นจากเก้าอี้หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน พ้นจากเลขาธิการพรรค เป็นแค่รักษาการ
ตามกระบวนการแห่ “พี่ใหญ่” หนุน “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ภายใน 45 วัน นับจากวันที่ 1 มิถุนายน 2563

โดยเป้าหมายแท้จริงมันอยู่ที่การเขย่าติ้วปรับ ครม.
เกลี่ยเก้าอี้รัฐมนตรีกันใหม่ตามโควตา
ล้อตามสัญญาณที่ พล.อ.ประวิตรให้สัมภาษณ์พิเศษสื่อใกล้ชิด ยืนยันชัดต้องมีการปรับ ครม.แน่นอนหลังโควิดคลี่คลาย และนั่นก็สำทับตามน้ำด้วยมวยเก๋าลายครามระดับนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม อ้างหลักการ การปรับเปลี่ยนกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ จะโยงถึงการปรับ ครม.ด้วย
เพราะนายกฯได้แบ่งโควตาให้กับพรรคการเมืองของแต่ละพรรค
ซึ่งนั่นก็ขัดลำสวนทางกับ พล.อ.ประยุทธ์ที่ยืนยันเสียงแข็งยังไม่คิดเรื่องปรับคณะรัฐมนตรี เพราะตอนนี้ประชาชนกำลังเดือดร้อนจากวิกฤติโควิด การปรับเปลี่ยนภายในพรรคพลัง-ประชารัฐก็เป็นเรื่องของพรรคการเมืองว่ากันไป ไม่ได้เกี่ยวกับนายกรัฐมนตรีแต่อย่างใด
งานนี้ไม่รู้ใครคือผู้คุมดุลอำนาจรัฐบาลตัวจริงกันแน่
และไม่ใช่แค่การยึดอำนาจในพรรคพลังประชารัฐเท่านั้น จับสัญญาณอาการรุกไล่ของขุมข่ายใกล้ชิด ทีมกุนซือ พล.อ.ประวิตรยังเปิดปฏิบัติการ “จุดพลุ” นำร่อง
ปล่อยของต่อเนื่องไปถึงขั้นชูสูตรรัฐบาลใหม่ โชว์โพยรัฐมนตรีโผพิสดาร เป็นนัย “ผสมพันธุ์ข้ามขั้ว” ระหว่างพรรคพลังประชารัฐกับพรรคเพื่อไทย เกมลึก “พี่ใหญ่” ดีลลับกับนายใหญ่ดูไบ
ว่ากันถึงขั้นขู่ไปถึงคนตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล สมมติสถานการณ์เป็นเชิงถ้ายังไม่ขยับปรับ ครม. ตามซิก “พี่ใหญ่” มีการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจตามรัฐธรรมนูญ นายกรัฐมนตรีไม่สามารถยุบสภาได้
อาจได้เห็นปรากฏการณ์ “พระจันทร์ขึ้นสองดวง”
ลับ ลวง พราง มโนมั่วนิ่ม แต่นั่นก็ทำให้นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ผู้นำฝ่ายค้าน หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ต้องออกมาแถลงปฏิเสธ ยืนยันเป็นแค่เหลี่ยมเกมใช้พรรคเพื่อไทยเป็นเครื่องมือต่อรองทางการเมือง
ตามท้องเรื่องยังโยงกับอารมณ์ที่พรรคร่วมรัฐบาลอย่างทีมภูมิใจไทยและยี่ห้อประชาธิปัตย์ออกอาการเฮี้ยว ปล่อยลูกแถวเล่นเกมตรวจสอบงบฯสวนทางพรรคแกนนำรัฐบาล เหมือนส่งสัญญาณเตือนกันในที
ไม่มีไฟย่อมไม่มีควัน งานนี้นักการเมืองจมูกไวต้องได้กลิ่น
ตามรูปการณ์ที่อ่านทางได้ เกมยึดพรรคพลังประชารัฐ โยงรวบอำนาจคุมคิวพรรคร่วมรัฐบาล ขบวนการแห่ “บิ๊กป้อม” เดินเกมแรง เร่งจังหวะรุกคืบหนัก เป้าหมายยึดชัยภูมิที่มั่นแบบเบ็ดเสร็จ
ด้วยความมั่นใจคุมเสียง ส.ส.ในคาถา ล็อกเกมในสภาแน่นปึ้ก
แต่นั่นกลับแปรผันตรงกันข้ามกับสถานการณ์ภายนอก กระแสต่อต้านรุนแรง สังคมที่รับไม่ได้กับพฤติการณ์นัก-การเมืองโบราณในพรรคพลังประชารัฐที่เล่นเกมชิงอำนาจ
แก่งแย่งผลประโยชน์โดยไม่รู้กาลเทศะ ไม่สนภาวะความเป็นความตายของประชาชน
โดยจังหวะเข้าเหลี่ยมฝ่ายค้าน แนวต้านรัฐบาล “บิ๊กตู่” ได้ทีขย่มลูกตามน้ำ
ประจานซ้ำพฤติการณ์น้ำเน่าที่มาแทนภาวะเสียงปริ่มน้ำ
แบบที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย เย้ยหยันเกมแย่งชามข้าวในพรรคพลังประชารัฐสะท้อนชัดพวกมือสมัครเล่น แย่งกันเป็นรัฐมนตรี แต่ทำงานไม่เป็น ขณะที่นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ตัวจี๊ดที่ตามประกบ “บิ๊กป้อม” ฉวยสถานการณ์ตอกย้ำพรรคพลังประชารัฐเป็นแค่แหล่งซ่องสุมพวกหนุนเผด็จการ สืบทอดอำนาจให้ 3 ป.
ช่วงชิงกันเข้ามาสวาปามเค้กเงินกู้โควิด 1 ล้านล้าน
ประทับภาพ พปชร. เป็นพรรคทหาร สืบทอดอำนาจ คสช.ชัดเจน
และที่น่าใจหายยิ่งกว่า โดยปรากฏการณ์ที่ฝ่ายต่อต้านรัฐบาล ประสานเสียงเดียวกับกองหนุน พล.อ.ประยุทธ์ ในอารมณ์ที่ “แม่ยก-พ่อยก” ของ “นายกฯลุงตู่” พากันรุมโห่เกมน้ำเน่าในพรรคพลังประชารัฐ
ชื่ออย่าง “นิติพงศ์ ห่อนาค-เสรี วงศ์มณฑา-ทิชา ณ นคร-กนก รัตน์วงศ์สกุล ฯลฯ”
ดาหน้าออกมาด่ากันแรงๆส่งสัญญาณชัดถึงผู้มีอำนาจ
สะท้อนอาการ “หมดแรงเชียร์ลุงตู่”
รับไม่ได้กับภาวะการเมืองที่ไร้การปฏิรูป แถมหนักกว่าเก่าตรงที่ส่อกลายพันธุ์ผสมกันระหว่างทหารกับนัก-การเมืองพันธุ์เก่าระบอบ “ทักษิณ” ที่เป็นต้นตอก่อวิกฤติความขัดแย้ง
กระแส “ยี้” รุนแรง พายุภายนอกก่อตัวในระดับอันตราย

หักมุมกับจำนวนมือ ส.ส.ในสภาที่ฝ่ายหนุน “บิ๊กป้อม” มั่นใจอยู่ในระยะปลอดภัย ในจุดที่เอื้อต่อการเกลี่ยผลประโยชน์และอำนาจตามธรรมชาติการเมืองแบบไทยๆ
ฝ่ายหนุน พล.อ.ประวิตรมุ่งเป้าหมายการเมืองเป็นที่ตั้ง
โดยไม่ต้องพูดถึงสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจหนักหนาสาหัสรออยู่ข้างหน้า ไม่มองถึงความเป็นจริงในเชิงปฏิบัติ ที่ทีมของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ มือเศรษฐกิจ และทีมรัฐมนตรี 4 กุมาร ที่วางพื้นฐานเศรษฐกิจประเทศมาต่อเนื่อง 5-6 ปี และเป็นหลักในการวางพิมพ์เขียวรับมือวิกฤติโควิด
การเปลี่ยนม้ากลางศึก ย่อมเสี่ยงต่อความมั่นใจของนักลงทุนและเครดิตในเวทีนานาชาติ
ที่สำคัญ มันจะประจานความผิดพลาดของ พล.อ.ประยุทธ์ต้องกลับไปนับหนึ่งเศรษฐกิจกันใหม่
เป็นความเสียหายเฉพาะตัว “นายกฯลุงตู่” อย่างประเมินค่าไม่ได้
มันจึงไม่แค่เรื่อง “ดราม่า” อย่างที่ผู้นำพยายามตัดบท “ลอยตัว” อยู่เหนือปมป่วนในพรรคพลังประชารัฐ
แต่นี่คือจุดวัดดวง “เดิมพัน” สำคัญสุดบนกระดานอำนาจของ “บิ๊กตู่”
“เสียของ” ซ้ำซากอีกหรือไม่
ณ จุดที่ พล.อ.ประยุทธ์คือผู้ถือสิทธิ์ขาดตามอำนาจนายกฯ
ถึงเวลาโชว์ภาวะผู้นำ ตัดสินใจนำพาประเทศไทย เลือกทาง 3 แพร่ง
ถ้าเดินตามเกมขบวนแห่ “พี่ใหญ่” มั่นใจรักษาสถานภาพบนเก้าอี้นายกฯได้ครบเทอม 4 ปี ก็ต้องรีบทำให้เกิดความชัดเจน ปรับ ครม. เกลี่ยโควตาให้กลุ่มการเมืองเป็นฐานรองอำนาจ
หรือหากมั่นใจใน “ต้นทุนหน้าตักส่วนตัว” เอาตามกระแสสังคมเป็นตัวตั้ง เพื่อเกียรติประวัติในทางยาวๆ ก็ต้องกล้าฝืนแรงบีบของทีมแห่ “บิ๊กป้อม” ไม่ยอมปรับ ครม.ตามใจกลุ่มก๊วนการเมือง
และถ้าลากไม่ไหว เห็นอยู่ว่าจะทำให้ชาติบ้านเมืองเสียหาย
พล.อ.ประยุทธ์ก็ถือไพ่ใบสุดท้ายไม้ตายยุบสภา
ฆ่าเชื้อการเมืองเน่าให้ตายไปพร้อมโควิด.
“ทีมการเมือง”