ให้ศาลรธน.ตีความกฎหมายลูก ‘สมชัย’ แฉสวนหมากนี้ลึกซึ้งยิ่งหากโดนตีตกโรดแม็ปเลื่อน6ด.
สนช.สะดุ้งคำเตือน “มีชัย” ชั่งใจยื่น ศาล รธน.ตีความกฎหมายลูก 2 ฉบับที่เพิ่งยกมือผ่านท่วมท้น แต่หวั่นถูกด่า จ่อโยน ครม.ตัดสินใจแทน “วิษณุ” ถือหาง “มีชัย” ยื่นตีความ ยันไม่สะเทือนโรดแม็ป เพราะเผื่อเวลาไว้แล้ว “สมชัย” กางปฏิทินโรดแม็ปสวนกระทบแน่ ยื่นศาล รธน.ต้องบวกเวลาเพิ่มอย่างน้อย 2-6 เดือน คนการเมืองรุมจวกยับ “ตือ” ถามเล่นอะไรกัน ถ้าขัด รธน.ต้องมีคนรับผิดชอบ “นิพิฏฐ์” ย้ำทฤษฎีสมคบคิด หมดหวังเลือกตั้ง ก.พ.62 “ธนาธร” นัดสื่อจิบกาแฟก่อนไป กกต.ยื่นตั้งพรรค เผยใช้ชื่อ “พลเมืองใหม่” คสช.ส่งสัญญาณเตือนทันควันเสี่ยงขัดคำสั่ง ส่งเจ้าหน้าที่สแกนยิบ “โอ๊ค” ออกโรงอัด “ลูกพิชัย” ลามปาม แจ้งเกิดแบบผิดๆ อาจดับวูบ คนในเตือนไม่ใช่เวลามาบั่นทอนกันเอง โผทหารกลางปีคลอดแล้ว “เสธ.อ๊อฟ” ขึ้น ผบ.พล.1 รอ. คุมหน่วยสำคัญ กทม. “บิ๊กอาร์ท” แม่ทัพภาค 4 ยังเหนียวอยู่ต่อยันเกษียณ
หลังจากนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ. ออกมาส่งสัญญาณเตือนว่ากฎหมายลูกว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และการได้มาซึ่ง ส.ว. 2 ฉบับล่าสุดที่เพิ่งผ่านความเห็นชอบจาก สนช.ด้วยมติท่วมท้น อาจขัดหลักการในรัฐธรรมนูญ พร้อมเสนอแนะให้ยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความนั้น
สนช.ชั่งใจยื่นตีความ ก.ม.ลูก
เมื่อเวลา 10.20 น. ที่รัฐสภา นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กล่าวถึงกรณีสมาชิก สนช.จะยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว. ตามที่นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ทักท้วงหรือไม่ว่า ขณะนี้ สนช.ยังไม่ได้พิจารณา เพียงแต่คิดตามที่นายมีชัยทำหนังสือทักท้วงมา ทั้งนี้หากยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความร่างกฎหมายลูก ส.ส.อาจมีผลกระทบต่อโรดแม็ปเลือกตั้ง ส่วนร่างกฎหมายลูก ส.ว.ไม่มีผล เพราะต้องเดินตามร่างกฎหมายลูก ส.ส.อยู่แล้ว สำหรับประเด็นการห้ามคนไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง เป็นข้าราชการการเมือง ในร่างกฎหมายลูก ส.ส.นั้น สนช.ต้องวิเคราะห์ให้ละเอียดว่าเป็นการตัดสิทธิ หรือตัดเสรีภาพในการประกอบอาชีพ เมื่อถามว่า ประเด็นที่ กรธ.ทักท้วงเป็นสาระสำคัญจะส่งผลให้ต้องยกร่างกฎหมายใหม่ทั้งฉบับหรือไม่ นายสุรชัยตอบว่า ตนคิดว่าสิ่งที่ทักท้วงมาทั้ง 2 ฉบับเป็นรายละเอียดปลีกย่อย ในร่างกฎหมายลูก ส.ว. นายมีชัยก็คัดค้านเพียงในบทเฉพาะกาล คงไม่ทำให้ต้องตีตกไปทั้งสองฉบับ ไม่ต้องกังวลขนาดนั้น
...
หวั่นโดนด่าโยน ครม.ตัดสินใจ
นายกิตติศักดิ์ รัตนวราหะ สมาชิก สนช. กล่าวว่า ตนสนับสนุนให้ สนช.ยื่นศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดร่างกฎหมายลูกทั้ง 2 ฉบับว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ จะได้เกิดความสบายใจ ถ้าศาลรัฐธรรมนูญตีความว่าขัดในประเด็นใดจะได้แก้ไขให้เรียบร้อย เรื่องจะได้จบ ถ้าไม่ยื่นตอนนี้ โดยรอให้ร่างกฎหมายลูก 2 ฉบับมีผลบังคับใช้แล้ว รับรองได้เลยว่าจะต้องมีฝ่ายการเมือง หรือภาคประชาชนไปยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความแน่นอน ถึงตอนนั้นจะยิ่งวุ่นวาย เผลอๆอาจถึงขั้นล้มทั้งยืนอย่างที่นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ.บอก แล้วใครจะรับผิดชอบ เบื้องต้นเท่าที่ฟังผู้ใหญ่ใน กมธ.ทั้ง 2 ชุด และเพื่อนสนช.หลายคนยังลังเลไม่อยากยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ เกรงจะถูกกล่าวหาว่ากลับไปกลับมา ทั้งที่ลงมติเห็นชอบด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น ยิ่งถ้าผลสุดท้ายศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดว่าไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญจะถูกมองว่ามีเจตนายื้อเลือกตั้ง หลายคนจึงอยากให้รัฐบาลหรือ ครม.เป็นผู้ยื่นตีความเองจะเหมาะสมกว่า อย่างไรก็ตาม คงต้องรอฟังความเห็นจากเพื่อนสมาชิกในการประชุม สนช.วันที่ 15 มี.ค.ก่อน เพราะบางคนแม้จะเห็นด้วยให้ยื่นศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย แต่ไม่กล้าออกตัวลงชื่อ
“วิษณุ” ถือหาง “มีชัย” ยื่นตีความ
ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ให้สัมภาษณ์กรณีนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรธ. ท้วงติง สนช.ว่าร่างกฎหมายลูก ส.ส. และ ส.ว. อาจขัดรัฐธรรมนูญว่า แม้นายมีชัยไม่มีสิทธิยื่นตีความตามข้อกฎหมาย แต่มีสิทธิออกมาเตือน ถ้าประธาน สนช.เห็นว่ามีเหตุผล สามารถถามสมาชิกและเข้าชื่อกันเพียง 25 คน ยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความได้ กรธ.ร่างกฎหมายทั้ง 2 ฉบับแนวหนึ่ง เมื่อไปถึง สนช.แก้เป็นอีกแนวหนึ่ง เมื่อตั้งกรรมาธิการ 3 ฝ่ายพิจารณาแล้ว เสียงข้างมากออกมาอย่างไรก็อย่างนั้น แต่ฝ่ายข้างน้อยก็ยังมีสิทธิติดใจ และเชื่อว่านายมีชัยมีความสุจริตใจ เพราะเตือนมาตลอด แต่กรรมาธิการร่วมบอกว่าไม่ขัด ถือเป็นเรื่องความเห็น แต่เมื่อสงสัยก็ส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญ เพราะเขาสามารถพิจารณาในส่วนนี้ได้ กฎหมายรัฐธรรมนูญเปิดทางไว้อยู่แล้ว และศาลก็ไม่ได้ใช้เวลาพิจารณายืดยาวเช่นเดียวกับกฎหมาย ป.ป.ช.

เผื่อเวลาไว้แล้วไม่กระทบโรดแม็ป
นายวิษณุกล่าวว่า ถ้าถามว่าล่าช้าหรือไม่ ต้องล่าช้าแน่เพราะศาลต้องใช้เวลาในการพิจารณา หากศาลบอกว่ามีจุดไหนขัดรัฐธรรมนูญ ต้องส่งกลับมาให้ทำใหม่เฉพาะมาตรานั้น ไม่ได้ทำทั้งร่าง คิดว่าไม่กระทบต่อโรดแม็ปเลือกตั้ง ยังอยู่ในช่วงเวลาที่เราเผื่อเหลือเผื่อขาดไว้แล้ว การเลือกตั้งยังคงอยู่ในช่วง ก.พ.62 แต่ถ้ายื่นทูลเกล้าไปแล้วมีการยื่นตีความภายหลัง แบบนั้นจะมีผลกระทบมากกว่า ตามที่นายมีชัยเป็นห่วง และเมื่อถึงจุดนั้นหากต้องร่างใหม่ ใครจะเป็นผู้ร่างก็ได้ เมื่อถามว่า กังวลหรือไม่ว่าจะเป็นปัญหา รองนายกฯตอบว่า กังวลที่มีความเห็นไม่ตรงกัน เช่นเดียวกับประธาน สนช.ที่มองว่าทำไมไม่ทำให้เสร็จให้เรียบร้อย เมื่อถามว่า การที่ สนช.มีมติท่วมท้นผ่านกฎหมายทั้ง 2 ฉบับ แล้วจะใช้สมาชิก 25 คน ไปยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความอีกถือว่าแปลกหรือไม่ นายวิษณุตอบว่า ไม่แปลกอะไรหากสงสัย เป็นการคิดอีกทีหนึ่ง คิดผิดคิดใหม่ได้ ยืนยันยังอยู่ในตารางโรดแม็ป ไม่ได้ทำให้ล่าช้าเสียเวลา เมื่อถามว่า ได้เจอนายมีชัยบ้างหรือยัง นายวิษณุตอบว่า ไม่ได้คุย ยังไม่ได้เจอกันเลย
“สมชัย” สวนกระทบโรดแม็ปแน่
นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต. โพสต์เฟซบุ๊กว่า หมากนี้ลึกซึ้งนัก แม้ว่า พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว.จะผ่านความเห็นชอบของ สนช.ไปแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการรอนำขึ้นทูลเกล้าฯ ตามมาตรา 148 ของรัฐธรรมนูญ มี 2 ช่องทางที่จะส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความกรณีที่เห็นว่าร่าง ก.ม.ดังกล่าวมีข้อความที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ คือ ช่องทางที่หนึ่ง สนช.จำนวนร้อยละสิบหรือ 25 คนร่วมลงนามถึงประธาน สนช. ช่องทางที่สองคือนายกรัฐมนตรี ขณะนี้มีข่าวว่านายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ.จะมีหนังสือขอให้มีการยื่นตีความไปยังศาลรัฐธรรมนูญ โดยชี้แจงว่าจะไม่กระทบต่อโรดแม็ปเลือกตั้ง ใครบอกที่ไม่กระทบโรดแม็ป ให้ไปเรียนบวกเลขกันใหม่ กรณีที่ไม่มีการยื่นศาล ต้องใช้เวลาเต็มที่ 330 วันหลังจากนายกฯทูลเกล้าฯ คือ รอโปรดเกล้าฯ 90 วัน ชะลอการใช้ 90 วัน เวลาเลือกตั้งให้แล้วเสร็จ 150 วัน (90+90+150= 330)

ยื่นศาล รธน.ทดเวลาเพิ่ม 2 เดือน
นายสมชัยกล่าวว่า หากนายกฯสามารถทูลเกล้าฯ ได้ในเดือน มี.ค.2561 นับไป 11 เดือน ก็คือ ก.พ.2562 แล้ว กรณีที่ยื่นศาล ต้องทดเวลาเพิ่มอีก 2 เดือน คือเผื่อการวินิจฉัยของศาลไว้ประมาณเดือนครึ่งและการนำกลับมาแก้เล็กหลังศาลวินิจฉัยอีกครึ่งเดือน การนับเวลาใหม่จึงเป็น 60+90+90+150-390 วัน หรือ 13 เดือน แปลว่า วันเลือกตั้งจะเคลื่อนจากโรดแม็ปไปอีกสองเดือนจาก ก.พ. เป็น เม.ย.2562
ถูกตีตกร่างใหม่อย่างต่ำ 6 เดือน
“ที่ตื่นเต้นกว่านั้นคือ ในวรรคสามของมาตรา 148 เขียนว่า หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าข้อความที่ขัดหรือแย้งนั้นเป็นสาระสำคัญของกฎหมายให้ร่าง พ.ร.บ.นั้นตกไป และดูประเด็นที่นายมีชัยทักท้วงเกี่ยวกับ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยที่มา ส.ว. ต้องบอกว่าเป็นสาระสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นวิธีการได้มาซึ่ง ส.ว. แปลว่าหากส่งตีความแล้วศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าผิดหรือขัดในสาระสำคัญ คงเห็นการยกร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยที่มา ส.ว.กันใหม่ทั้งฉบับ ใช้เวลายืดไปอีกออกอย่างน้อย 6 เดือน ใครที่บอกว่า พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยที่มา ส.ว.ไม่เสร็จ ไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับการเลือกตั้ง ส.ส. ขอบอกสั้นๆ รัฐธรรมนูญบอกให้เลือก ส.ว.ให้เสร็จก่อนการเลือกตั้ง ส.ส. 15 วัน ไม่มี ส.ว.ก็ไม่มี ส.ส. หมากนี้ลึกซึ้งยิ่ง ขึ้นอยู่กับใครจะเป็นจำเลยให้สังคม ระหว่าง 25 สนช. หรือนายกฯ ถ้าโรดแม็ปต้องเลื่อนไปอีก 2-6 เดือน ส่วนนายมีชัยรอดครับ” นายสมชัยระบุ
“สมศักดิ์” ข้องใจเล่นเกมอะไรกัน
นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล อดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎร แกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. เห็นด้วยกับนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ. ที่เสนอให้ยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความร่างกฎหมายลูก ส.ส.และ ส.ว.ว่า แน่นอนถ้าเสร็จไม่ทันโรดแม็ปเลือกตั้งต้องขยับ และถ้าศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่าขัดรัฐธรรมนูญต้องมีคนรับผิดชอบ อดแปลกใจไม่ได้เมื่อรู้ว่ามีปัญหา แต่ทำไมยังดันทุรังผ่าน ตกลงเล่นเกมอะไรกัน เฉไฉไปทางโน้นทีทางนี้ที ยิ่งยืดนานเท่าไหร่ในความรู้สึกประชาชนมองยิ่งเลวร้ายลง แต่ความรู้สึกคนที่ใกล้ชิดรัฐบาล และ คสช. อาจคิดว่าตอนนี้แพ้อยู่ ดึงเวลาไปก่อน ค่อยๆ ให้อีกฝ่ายหนึ่งเฉา แต่ตนขอให้อยู่บนความเป็นจริงจะดีกว่า
“นิพิฏฐ์” หมดหวังเลือกตั้ง ก.พ.62
นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊กว่า “เกิดความสงสัยอย่างกะทันหันว่าสิ่งที่ตนเห็นชอบ ขัดกฎหมาย? สนช.มีมติเห็นชอบร่างกฎหมายลูก ส.ส.และ ส.ว. ทั้ง 2 ฉบับ เป็นเอกฉันท์ วันนี้อาจเปลี่ยนใจจะส่งไปตีความที่ศาลรัฐธรรมนูญ เพราะฉะนั้นการเลือกตั้งในเดือน ก.พ.2562 ลืมไปได้เลย”
ผิดปกติตอกย้ำทฤษฎีสมคบคิด
นายนิพิฏฐ์ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า ตนเคยบอกแล้วว่า 1.หลัง สนช.โหวตผ่านกฎหมายสองฉบับนี้ด้วยเสียงเอกฉันท์ และถ้ามีการส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความอีก แสดงว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น เพราะสิ่งใดถ้าไม่มั่นใจเขาคงไม่ทำ โดยเฉพาะองค์กรหลักอย่าง สนช.หรือศาลรัฐธรรมนูญ แต่เพียงชั่วข้ามคืน หลังนายมีชัยออกมาพูดแค่เสียงเดียว สนช.กลับสับสนในสิ่งที่ตัวเองได้ทำไปว่าผิดกฎหมายหรือไม่ จะต้องส่งให้ศาลตีความ จึงสนับสนุนข้อสังเกตที่มีคนตั้งว่ามีทฤษฎีสมคบคิดเกิดขึ้นในการออกกฎหมาย และการจัดการเลือกตั้ง ปัญหาจะเกิดขึ้นทันทีเมื่อมีการส่งไปตีความ เพราะไม่มีใครคาดการณ์ได้ว่าการเลือกตั้งทั่วไปจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ และถ้ามีใครแสดงท่าทีขึงขังย้ำว่าจะมีเลือกตั้งเกิดขึ้นในเดือน ก.พ.62 ก็เท่ากับว่าบุคคลนั้นกำลังจะโกหกประชาชน เพราะการส่งเรื่องให้ศาลตีความไม่มีการกำหนดระยะเวลาในการพิจารณา อาจใช้เวลาหกเดือนหรือหนึ่งปีหรือมากกว่านั้นก็ได้

ตีตกยกร่างใหม่อาจนาน 2-3 ปี
นายนิพิฏฐ์กล่าวว่า 2.ทฤษฎีสมคบคิดนี้ถ้าศาลตีความว่าร่างกฎหมายที่ผ่าน สนช.ผิดรัฐธรรมนูญ การเลือกตั้งก็จะต้องเลื่อนออกไปโดยไม่มีกำหนดอาจจะเป็น 2-3 ปีก็ได้ เพราะต้องไปเริ่มต้นกระบวนการยกร่างใหม่ทั้งหมด เท่าที่ติดตามดูห่างๆ คิดว่ามีแนวโน้มว่าจะผิดรัฐธรรมนูญ 3.คนระดับนายมีชัยที่ยกร่างรัฐธรรมนูญและกฎหมายลูกต่างๆ มาแล้ว ควรจะรู้แต่ต้นแล้วว่าสิ่งที่ สนช.ทำไปขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ และไม่ควรปล่อยให้ผ่านมาอย่างนี้ ต้องแก้ไขให้เรียบร้อยก่อนที่จะปล่อยให้มีการโหวตลงมติ จึงถือได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นขณะนี้เป็นอีกหนึ่งปรากฏการณ์อภินิหารทางกฎหมายของกฎหมาย ซึ่งคนที่มีอภิญญาสูงส่งระดับนายมีชัยเท่านั้นที่สามารถทำได้
“รังสิมา” แจงเลือก “มาร์ค” กับ “บิ๊กตู่”
น.ส.รังสิมา รอดรัศมี อดีต ส.ส.สมุทรสงคราม พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ระบุว่าจะสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช. เป็นนายกฯหลังการเลือกตั้งดีกว่ายอมจับมือกับพรรคเพื่อไทย ว่า ตนรู้ว่าระบอบทักษิณเป็นอย่างไร อยู่ในสภาฯเห็นมาหมด ยืนยันว่าหากจะให้ร่วมมือกับพรรคเพื่อไทย ยังย้ำคำเดิมว่า ไม่เอาแน่ เพราะซื้อเสียง ซื้อสารพัดเพื่อเข้าสู่อำนาจ ใช้การเลือกตั้งอ้างคำว่าประชาธิปไตย แต่พฤติกรรมเป็นเผด็จการรัฐสภา ควบคุมอำนาจเบ็ดเสร็จยิ่งกว่ารัฐบาล คสช. บริหารประเทศเป็นเหมือนบริษัทจำกัด ใช้ฐานของประเทศต่อยอดเอื้อประโยชน์ให้ตัวเองและพวกพ้อง ระบอบทักษิณกินรวบยิ่งกว่าเผด็จการทหาร อ้างแค่คำว่าประชาธิปไตยมาจากประชาชนทำทุกอย่าง เมื่อถามว่า พรรคประชาธิปัตย์ยึดอุดมการณ์ต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบจะไม่ขัดแย้งกับพรรคหรือ น.ส. รังสิมาตอบว่า ตนเห็นว่าเผด็จการรัฐสภาที่ใส่เสื้อคลุมประชาธิปไตยของระบอบทักษิณและพรรคเพื่อไทยร้ายแรงกว่า เมื่อมีอำนาจเขาทำได้ทุกอย่าง ทั้งทุจริตเชิงนโยบาย สั่งแก้ไขกฎหมาย โดยตนจะโหวตเลือกนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นนายกฯ แต่ถ้าเลือกนายกฯที่มาจากการเลือกตั้งไม่ได้ ต้องเลือกกันหลายรอบแล้วไม่จบ ก็จำเป็นต้องเลือก พล.อ.ประยุทธ์ นี่เป็นจุดยืนของตนว่าไม่เอาด้วยกับเพื่อไทย และยืนยันว่าจะไม่ย้ายพรรคไปไหน
“เทือก” ไม่รู้ “บิ๊กตู่–พลังประชารัฐ”
ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาฯ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย (มปท.) ตอบคำถามผู้สื่อข่าวกรณีกระแสข่าวพรรคพลังประชารัฐทาบทาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช. มารับตำแหน่งประธานที่ปรึกษาพรรคว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตน ไม่ขอแสดงความเห็น
“ไพบูลย์” ยังหนุนช่องนายกฯคนนอก
นายไพบูลย์ นิติตะวัน ผู้ร่วมก่อตั้งพรรคประชาชนปฏิรูปกล่าวว่า ได้ทำหนังสือถึง คสช. เมื่อวันที่ 6 มี.ค.ที่ผ่านมา เพื่อขอเปิดประชุมผู้ร่วมก่อตั้งพรรค แต่ คสช.ยังไม่ได้ส่งหนังสือตอบกลับมา มั่นใจว่า คสช.จะอนุญาต เพราะเป็นการขอทำตามกฎหมาย ไม่ได้เป็นการประชุมเพื่อเคลื่อนไหวมีเป้าหมายอื่น เมื่อถามถึงกรณีพรรคพลังประชารัฐจะเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช. เป็นนายกฯในการเลือกตั้ง นายไพบูลย์ตอบว่า ถือเป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้าเป็นนายกฯคนกลางจะต้องไม่สังกัดพรรคไหน จะให้พรรคใดพรรคหนึ่งมาสนับสนุนคงไม่ได้ จะต้องมีหลายๆพรรคมาร่วมสนับสนุน ต้องช่วยๆกัน
“ธนาธร” ได้ฤกษ์ยื่นตั้งพรรค
วันเดียวกัน นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ รองประธานบริหารกลุ่มบริษัทไทยซัมมิท ที่ประกาศจะลงเล่นการเมือง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Thanahorn Juangroongruangkit ว่า “ผมขอเชิญพี่น้องสื่อมวลชนมาร่วมกินกาแฟกับธนาธร ในช่วงเช้าของวันพฤหัสบดีที่ 15 มีนาคมนี้ เพื่อปรับทัศนคติทางการเมือง ร่วมพูดคุยเปิดใจกับกลุ่มเพื่อนธนาธร หลังจากนั้นเวลา 10 โมงเช้า พวกเราจะเดินทางไปยื่นเตรียมการจัดตั้งพรรคการเมืองที่ กกต. ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ ส่วนเพื่อนๆ ในเฟซบุ๊กที่ส่งข้อความพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นมาทางหลังไมค์ ผมต้องขออภัยด้วยจริงๆ ที่ยังเปิดอ่านไม่ครบทุกท่าน เพราะมีส่งเข้ามาเป็นพันข้อความ อย่างไร ก็ตาม จะพยายามตอบทุกท่านให้ได้นะครับ ส่วนที่ทุกคนช่วยธนาธรตั้งชื่อพรรค ขอบคุณมากๆนะครับ ติดตามกันนะครับว่าชื่อไหนจะกลายมาเป็นชื่อพรรคของพวกเรา”
เคาะชื่อ “พลเมืองใหม่” แจ้ง กกต.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับชื่อพรรคการเมืองของนายธนาธร และนายปิยบุตร แสงกนกกุล นักวิชาการ ที่จะไปจดแจ้งต่อ กกต. เบื้องต้นได้คัดเลือกไว้ 2-3 ชื่อ เช่น พรรคอนาคตใหม่ พรรคพลเมืองใหม่ โดยล่าสุดสรุปว่าจะใช้ชื่อพรรคพลเมืองใหม่ ซึ่งมีผู้ร่วมก่อตั้งเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ ทั้งนักวิชาการ นัก เคลื่อนไหว เอ็นจีโอ นักศึกษา

“วินธัย” ส่งสัญญาณขัดคำสั่ง คสช.
ขณะที่ พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษก คสช. กล่าวถึงกรณีนายธนาธรนัดสื่อมวลชนที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่งเพื่อปรับทัศนคติทางการเมือง ร่วมพูดคุยเปิดใจกับ “กลุ่มเพื่อนธนาธร” ว่า การดำเนินการดังกล่าวสุ่มเสี่ยงขัดคำสั่ง คสช. เรื่องการชุมนุมทางการเมืองเกิน 5 คน ในเวลานัดหมายดังกล่าวเจ้าหน้าที่คงใช้ดุลพินิจดำเนินการ หากมีการพูดคุยเรื่องการเมือง เจ้าหน้าที่ที่ลงไปดูแลต้องพิจารณา และหากเป็นไปตามที่นายธนาธรระบุในเฟซบุ๊กถือว่าสุ่มเสี่ยงจะทำผิด ต้องให้เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบประเมิน
อนุญาตแล้วพรรคแรกจัดประชุม
นายราเชน ตระกูลเวียง ผู้จดแจ้งจัดตั้งพรรคทางเลือกใหม่ กล่าวว่า พรรคทางเลือกใหม่ของตนเป็นพรรคการเมืองแรกที่ได้รับหนังสืออนุญาตจาก คสช. ขณะนี้มีความพร้อมที่จะจัดประชุมสมาชิกตามที่ได้ยื่นขอไปในวันที่ 24 มี.ค. ณ โรงแรมริเวอร์ไซด์ ซังฮี้ โดยวันดังกล่าวจะมีสมาชิกพรรคเข้าร่วมประชุมไม่ต่ำกว่า 450 คน ขณะนี้พรรคได้มีหนังสือเชิญไปยังพรรคการเมือง และสื่อมวลชนเพื่อให้มาร่วมสังเกตการณ์การจัดประชุม
“โอ๊ค” ออกโรงอัดยับเด็กลามปาม
ด้านความเคลื่อนไหวพรรคเพื่อไทย ที่เกิดแรงกระเพื่อมภายใน กรณีนายพชร นริพทะพันธุ์ ลูกชายนายพิชัย นริพทะพันธุ์ แกนนำพรรค ออกมา วิพากษ์-วิจารณ์คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แกนนำพรรคที่มีข่าวว่าจะเป็นผู้นำพรรคเพื่อไทยคนใหม่ วันเดียวกัน นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ โพสต์เฟซบุ๊กว่า “คิดจะแจ้งเกิดแบบผิดๆ อาจกลายเป็นแจ้งดับได้ คิดกันให้ดี ในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ ยังหาเรื่องมาทะเลาะเบาะแว้ง แก่งแย่งชิงดีกันได้อีก มีอะไรพูดกันด้วยเหตุผลภายในพรรค แต่เล่นใช้วิธีปั่นกระแสแบบนักเลงคีย์บอร์ดโบราณ เปิดเพจวันเสาร์ พอวันจันทร์ก็ให้เด็กโพสต์ ผู้ใหญ่กระจายข่าว ยัดข่าวให้สื่อนำบทความจากเฟซบุ๊กไปลงต่อ ทั้งแชร์ทั้งรีโพสต์รายชั่วโมง ทั้งนี้เรื่องนี้ผิดทั้งข้อมูลที่นำเสนอ ผิดทั้งแนวทางการให้ข่าว ผิดทั้งมารยาทและกาลเทศะ แต่ไม่อยากไปต่อความยาวสาวความยืด เพียงแต่ไม่อยากให้คนอื่นจำแนวทางผิดๆ แบบนี้ไปทำอีก มันทำให้คนรุ่นใหม่ที่เขาตั้งใจทำงานให้พรรคอย่างจริงจังอีกหลายสิบคน ส่งข้อมูลมาถึงตน และถามว่ามันเกิดอะไรขึ้น ถ้าไม่ปรามเรื่องแบบนี้ เดี๋ยวก็จะได้ใจทำกันต่อไปอีก ข้ออ้างที่บอกว่าทำไปเพื่อดึงกระแสคนรุ่นใหม่ ที่กำลังจัดตั้งพรรคอยู่ บอกเลยมวยคนละชั้น ฝ่ายโน้นเขามีจุดยืนเรื่องประชาธิปไตยมานาน ไม่ใช่เพิ่งมาเปิดเพจแค่วันสองวัน เพื่อมาก้าวร้าวผู้ใหญ่เช่นนี้ และถ้าพรรคการเมืองที่อยู่ข้างประชาชนคนรักประชาธิปไตยไม่เป็นพันธมิตรกัน มัวแต่แก่งแย่งชิงคะแนน และคิดกันได้แค่นี้ ไม่มีทางที่จะชนะพรรคเผด็จการได้”
สอนไม่ใช่เวลามาบั่นทอนกัน
นางกุสุมาลวตี ศิริโกมุท อดีต ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ขณะนี้ไม่สมควรที่จะวิพากษ์-วิจารณ์คนในพรรคเดียวกัน จะพอใจหรือไม่ตอนนี้มีการยึดอำนาจจาก คสช. ควรสามัคคีกันมากกว่า ส่วนตัวเห็นว่าใครก็ตามที่จะมาเป็นหัวหน้า ขอเพียงให้เสียงส่วนใหญ่ยอมรับ วันนี้หากมีคนมาช่วยดูแลในช่วงรอยต่อก็ควรขอบคุณเขามากกว่าที่จะมาดิสเครดิตกัน คนในพรรคทุกคนควรช่วยกันเลือกสิ่งที่ดีที่สุดต่อไป ต้องสร้างสรรค์ สร้างความเชื่อมั่น ทำประโยชน์ให้พรรค เพราะประชาชนยังรักและศรัทธาพรรคเพื่อไทยอยู่ และตนยังยืนยันว่าจะต่อสู้เคียงข้างพรรค ไม่ว่าใครจะมาเป็นหัวหน้า
ชู “เจ๊หน่อย” ใจกว้าง–ให้โอกาส
ร.ท.หญิงสุณิสา ทิวากรดำรง อดีตรองโฆษกพรรคเพื่อไทย โพสต์เฟซบุ๊กว่า พรรคเพื่อไทยไม่ได้ปิดกั้นคนรุ่นใหม่ แต่กลับกันพยายามผลักดันให้ก้าวขึ้นมามีส่วนร่วมในการพัฒนาพรรค ถือเป็นความใจกว้างของผู้ใหญ่ในพรรค รวมถึงคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แกนนำพรรคเพื่อไทย ที่ใจกว้างและ มีประสบการณ์มายาวนานตั้งแต่ก่อตั้งพรรคไทยรักไทย ยืนยันว่าพรรคไม่มีปัญหาอะไรต้องกังวล สมาชิกรุ่นใหญ่ รุ่นเล็ก พร้อมพัฒนาตัวเอง แม้จะติดลบทางการเมือง และจะกลับมาเมื่อประเทศชาติต้องการ
โต้กองทัพไม่ใช่สิ่งกีดขวางเลือกตั้ง
พล.อ.อ.จอม รุ่งสว่าง ผบ.ทอ. กล่าวถึงข้อเรียกร้องกลุ่มคนอยากเลือกตั้งให้ยุบ คสช.ว่า ยุบไม่ได้ เป็นความเข้าใจผิด คสช.ถือเป็นกลไกของรัฐธรรมนูญ ไม่ได้มีบทบาทในการเลือกตั้ง มีหน้าที่ดูแลรักษาความสงบเรียบร้อย ตามที่ พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ. ในฐานะเลขาธิการ คสช. ระบุไว้ว่าเพื่อดูแลบรรยากาศการเลือกตั้งให้เป็นไปด้วยดี ยืนยัน คสช.ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการเลือกตั้ง และยืนยันว่าเราจะวางตัวเป็นกลางทางการเมือง ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว หรือแทรกแซงกลไกต่างๆ เพียงแต่คาดหวังให้ทุกอย่างเดินไปด้วยดี
บรรจุเครื่องบินใหม่ประจำการ
พล.อ.อ.จอมกล่าวถึงความคืบหน้าพิธีบรรจุเครื่องบินขับไล่ขั้นต้นแบบ T-50 TH จำนวน 4 เครื่อง หลังรับมอบเมื่อเดือน ม.ค. 2 เครื่อง และต้นเดือน มี.ค. อีก 2 เครื่องว่า จะทำพิธีบรรจุในวันที่ 4 เม.ย. ที่กองบิน 4 อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ โดยตนจะเป็นประธาน ส่วนเครื่อง T50TH 2 ลำที่ประสบอุบัติเหตุจากสภาพอากาศรุนแรงจนต้องเปลี่ยนเครื่องยนต์ ไม่มีปัญหา ขณะนี้การตรวจสอบอยู่ในขั้นตอนการใช้อาวุธจริง ทุกอย่างผ่านไปเรียบร้อย ขอให้เชื่อมั่นกองทัพอากาศจะทำให้ดีที่สุดเพื่อให้คุ้มค่ากับงบประมาณ ภาษีของประชาชน
2 ป.ป.ช.โล่งได้นั่งเก้าอี้ทำงานต่อ
ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช. กล่าวถึงกรณีศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยการยกเว้นลักษณะต้องห้ามของกรรมการ ป.ป.ช.ในร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต เพื่อให้ดำรงตำแหน่งทำงานต่อไปได้ ไม่เข้าข่ายขัดต่อรัฐธรรมนูญว่า แม้จะมีผู้แย้งมติศาลรัฐธรรมนูญ แต่เชื่อว่าจะไม่มีปัญหาเกิดขึ้น เพราะบ้านเมืองใช้กฎหมายเป็นหลัก คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญจะทำ ให้งาน ป.ป.ช.เดินหน้าอย่างราบรื่นมากขึ้น เช่นเดียวกับกฎหมาย ป.ป.ช.ฉบับใหม่จะทำให้การทำงาน ป.ป.ช.มีประสิทธิภาพมากขึ้น ได้บอกกับเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.ว่าต้องเหนื่อยอีก 2-3 ปี เพื่อให้องค์กรมีความกระฉับกระเฉงมากขึ้น
ด้านนายวิทยา อาคมพิทักษ์ กรรมการ ป.ป.ช. กล่าวว่า รู้สึกเบาใจจะได้ไม่ต้องมานั่งกังวลหรือขัดข้องใจว่ากรรมการ ป.ป.ช.ทำงานโดยไม่มีอำนาจ ไม่มีคุณสมบัติ เมื่อศาลตีความแล้วถือว่าจบ และไม่คิดว่าคำวินิจฉัยที่ออกมาจะนำไปสู่วิกฤติรัฐธรรมนูญ

“บิ๊กป้อม” ยังไม่แจงนาฬิการอบ 4
นายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการ ป.ป.ช. กล่าวถึงความคืบหน้าการตรวจสอบการถือครองนาฬิกาหรู 25 เรือนของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหมว่า ขณะนี้ พล.อ.ประวิตรยังไม่ได้ส่งคำชี้แจงรอบ 4 มายัง ป.ป.ช.ที่จะครบกำหนดในวันที่ 15 มี.ค. เมื่อถามว่า พล.อ.ประวิตรมีสิทธิขอขยายเวลาชี้แจงได้อีกหรือไม่ นายวรวิทย์ตอบว่า อย่าเพิ่งพูดถึงขั้นตอนดังกล่าว รอให้ พล.อ.ประวิตรชี้แจงมาก่อน ขณะที่ พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช. เปิดเผยว่า ในเวลาอันใกล้นี้คงได้ข้อมูลจาก พล.อ.ประวิตรครบถ้วน ป.ป.ช.ไม่ได้ดูข้อมูลเฉพาะที่มีผู้แจ้งเข้ามาเท่านั้น เรื่องนี้มีขั้นตอนและแนวทางปฏิบัติของสำนักงานตรวจสอบทรัพย์สินอยู่แล้ว มี น.ส.สุภา ปิยะจิตติ กรรมการ ป.ป.ช.กำกับดูแลอยู่ ซึ่งเป็นคนละเอียดอยู่แล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะทำงานแสวงหาข้อเท็จจริงกรณีนาฬิกาหรูของ พล.อ.ประวิตร มีข้อถกเถียงกันว่าจะเชิญ พล.อ.ประวิตรมาให้ถ้อยคำด้วยตัวเองหรือไม่ โดยฝ่ายที่อยากเชิญมาให้ถ้อยคำเห็นว่า จะสามารถสอบถามรายละเอียดได้เลยไม่ต้องเสียเวลาชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษรไปมา ขณะที่ฝ่ายไม่เห็นด้วยมองว่าควรรอให้ พล.อ.ประวิตรชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งที่ 4 เสียก่อน
โปรดเกล้าโผทหารกลางปี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ให้นายทหารรับราชการ 260 ตำแหน่ง โดยมีตำแหน่งที่น่าสนใจ ดังนี้ กระทรวงกลาโหม อาทิ พล.อ.รุจ กสิวุฒิ (ตท.18) ขยับเป็นที่ปรึกษาพิเศษสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม พล.ท.นิรันดร สมุทรสาคร (ตท.18) เป็นหัวหน้าฝ่ายเสนาธิการประจำปลัดกระทรวงกลาโหม พล.ท.ฤทธี อินทราวุธ (ตท.18) เป็นผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.ต.เชี่ยวชาญ รุดดิษฐ์ เป็นผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม (อัตรา พล.อ.ท.) พ.อ.นิมิตต์ สุวรรณรัฐ (ตท.30) ผู้บังคับการกรมทหารพัฒนาที่ 1 เป็นนายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำ รมว.กลาโหม โดย พ.อ.นิมิตต์ถือเป็นนายทหารคนสนิทของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช.
“เสธ.อ๊อฟ” ขึ้น ผบ.พล.1 รอ.
ขณะที่กองทัพบกมีขยับหลายตำแหน่ง อาทิ “เสธ.อ๊อฟ” พล.ต.ทรงวิทย์ หนุนภักดี (ตท.24) บุตรชาย “บิ๊กตุ๋ย” พล.อ.อิสระพงศ์ หนุนภักดี อดีต ผบ.ทบ.ขยับจาก ผบ.พล.ร.11 เป็น ผบ.พล. 1 รอ.ซึ่งเป็นหน่วยกำลังที่มีภารกิจสำคัญเกี่ยวกับสถาบัน พร้อมทั้งขยับ “บิ๊กบี้” พล.ต.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ (ตท.22) ผบ.พล.ร.1 เป็นรองแม่ทัพภาคที่ 1 โดยคาดว่าเพื่อรอจ่อขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 ปลายปีนี้ ขณะที่ พ.อ.วรยุทธ แก้ววิบูลย์พันธุ์ รอง ผบ.พล.ร.2 น้องรัก พล.อ.ประยุทธ์ ขึ้นเป็น ผบ.พล.ร.11 นอกจากนี้ยังขยับ พล.ต.วุฒิชัย นาควานิช (ตท.23) รองแม่ทัพภาคที่ 1 ซึ่งเป็นน้องชายของ พล.อ.ธีรชัย นาควานิช องคมนตรี ขึ้นอัตรา พล.ท.ในตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพบก ส่วนหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ (นสศ.) พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ.ผลักดัน “เสธ.ยอง” พล.ต.ภูมิพัฒน์ จันทร์สว่าง (ตท.24) ผบ.พล.รพศ.1 ขึ้นเป็นรอง ผบ.นสศ. รอจ่อเป็น ผบ.นสศ.ในปลายปี โดย พล.ต.ภูมิพัฒน์มีอายุราชการถึงปี 2566 พร้อมขยับ พ.อ.ชาตรี กิตติขจร ขึ้นเป็น ผบ.พล.รพศ.1 ส่วนกองทัพภาคที่ 4 เป็นไปตามคำขอทำงานในพื้นที่ภาคใต้อย่างต่อเนื่อง โดย “บิ๊กอาร์ท” พล.ท.ปิยวัฒน์ นาควานิช แม่ทัพภาคที่ 4 ยังอยู่ตำแหน่งเดิม
แกนนำ กปปส.ชุด 2 ขึ้นศาลคดีกบฏ
วันเดียวกัน ที่ศาลอาญา พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการคดีพิเศษ 4 นำตัว น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก พล.อ.ปรีชา เอี่ยมสุพรรณ นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ นายยศศักดิ์ โกไศยกานนท์ นายถนอม อ่อนเกตุพล นายสมศักดิ์ โกศัยสุข พระพุทธอิสระ นายสาธิต เซกัลป์ น.ส.รังสิมา รอดรัศมี พล.อ.ท.วัชระ ฤธาคนี พล.ร.อ.ชัย สุวรรณภาพ นายแก้วสรร อติโพธิ นายไพบูลย์ นิติตะวัน และนายถวิล เปลี่ยนศรี มาฟ้องเป็นจำเลยที่ 1-14 ฐานร่วมกันเป็นกบฏ ยุยงหรือจัดให้เกิดการร่วมกันหยุดงาน กระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกฎหมาย โดยใช้กำลังประทุษร้ายฯ เป็นอั้งยี่ ร่วมกันซ่องโจร รวมทั้งหมด 8 ข้อหา ทั้งเป็นตัวการและผู้สนับสนุน ศาลประทับรับคำฟ้องไว้เป็นคดี และสอบคำให้การเบื้องต้นจำเลยให้การปฏิเสธ จึงนัดตรวจพยานหลักฐานวันที่ 19 มี.ค. เวลา 09.00 น. โดยจำเลยทั้งหมดยื่นหลักทรัพย์ขอประกันชั่วคราว จากนั้นศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ประกันตัวคนละ 600,000 บาท พร้อมกำหนดเงื่อนห้ามออกนอกประเทศ เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากศาล
ปลื้มไทยไอดอลแก้พืชเสพติด
ที่ศูนย์การประชุมนานาชาติเวียนนา สาธารณรัฐออสเตรีย พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกฯ และ รมว.ยุติธรรม ได้เข้าร่วมหารือทวิภาคีกับนาย เอ็นริเก กิล โบเตโร รมว.ยุติธรรมและกฎหมายของโคลอมเบียและคณะ โดย พล.อ.อ.ประจินกล่าวขอบคุณรัฐบาลโคลอมเบียที่สนับสนุนกิจกรรมด้านการพัฒนาทางเลือกของไทยมาตลอด และได้ให้ความสนใจในการแก้ไขปัญหาการปลูกพืชเสพติด และใช้เป็นหลักในการแก้ไขปัญหายาเสพติดในโคลอมเบีย โดยทั้ง 2 ฝ่ายได้ร่วมกันหารือถึงการจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านยาเสพติดระหว่างสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดและหน่วยงานกลางด้านการแก้ไขปัญหายาเสพติดของโคลอมเบีย นอกจากนี้ยังขอบคุณรัฐบาลโคลอมเบียและเยอรมนีที่ได้ร่วมดำเนินโครงการด้านการพัฒนา และผลักดันแนวปฏิบัติสหประชาชาติว่าด้วยการพัฒนาทางเลือกไปสู่การปฏิบัติ
กก.ปฏิรูปเคาะถ่ายโอนภารกิจ ตร.
ที่รัฐสภา นายมานิจ สุขสมจิตร ประธานอนุกรรมการด้านสื่อสารกับสังคม คณะกรรมการปฏิรูปประเทศ ด้านกระบวนการยุติธรรม (ตำรวจ) กล่าวถึงข้อสรุปการถ่ายโอนภารกิจตำรวจให้หน่วยงานอื่นๆรับผิดชอบว่า การถ่ายโอนภารกิจตำรวจแบ่งเป็น 4 ประเภทได้แก่ 1.การโอนภารกิจภายใน 3 ปี เช่น ด้านจราจรจะถ่ายโอนไปให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 2.การโอนภารกิจภายใน 5 ปี ได้แก่การป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยทางหลวง การขนส่ง เดิมตำรวจทางหลวงรับผิดชอบจะมอบให้กระทรวงคมนาคมรับผิดชอบ ด้านตำรวจน้ำโอนให้กรมเจ้าท่าเป็นผู้รับผิดชอบ 3.การโอนภารกิจที่ยังไม่กำหนดเวลาเพราะต้องเตรียมความพร้อม 4.ภารกิจที่ยังคงอยู่กับตำรวจต่อไป ได้แก่ การปราบปรามการกระทำความผิดบนรถไฟและการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดทางเทคโนโลยี แต่จะให้หน่วยงานต่างๆเข้ามาช่วยงาน
เผยหลายหน่วยแบมือของบ
นายมานิจกล่าวว่า ปัญหาเรื่องการถ่ายโอนภารกิจของตำรวจคือ หน่วยงานที่ได้รับการถ่ายโอนภารกิจระบุว่าต้องใช้งบประมาณการถ่ายโอนภารกิจ เช่น กรมเจ้าท่าที่ได้รับการถ่ายโอนภารกิจตำรวจน้ำ ระบุว่า จะต้องหาเรือออกตรวจการณ์ การจัดเตรียมอาคารสถานที่ ระบบสารสนเทศ ต้องใช้งบประมาณ 197 ล้านบาท หรือกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ระบุต้องเตรียมความพร้อมด้านกฎหมายและขออัตรากำลังเพิ่ม 1,334 คนและต้องมีเงินประจำตำแหน่ง ใช้งบประมาณ 4,003 ล้านบาท เพราะไม่มีความพร้อมการรับโอนภารกิจ เนื่องจากบุคลากรขาดองค์ความรู้ด้านสืบสวนสอบสวน และความก้าวหน้าในสายงานมีจำกัด ทำให้ยากในการรับโอน โดยรวมถือว่ามีปัญหาเรื่องงบประมาณ ซึ่งคณะกรรมการปฏิรูปตำรวจจะทำแผนการถ่ายโอนส่งให้รัฐบาลเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะมีงบประมาณให้หรือไม่