“พื้นที่ จ.ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง มีความต้องการน้ำเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากการขยายตัวของระบบเศรษฐกิจและสังคม ตามนโยบายของรัฐบาล โดยคาดว่าในปี 2580 จะมีความต้องการใช้น้ำในพื้นที่ 3 จังหวัดเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC รวมปีละ 3,089 ล้าน ลบ.ม. เพิ่มขึ้นจากปี 2560 ที่มีความต้องการใช้น้ำรวมปีละ 2,419 ล้าน ลบ.ม. หรือเพิ่มขึ้นปีละ 670 ล้าน ลบ.ม. โดยความต้องการใช้น้ำในพื้นที่ 3 จังหวัดนี้คิดเป็นร้อยละ 53.5 ของความต้องการใช้น้ำทั้งภาคตะวันออก จึงจำเป็นต้องมีความมั่นคงทางน้ำที่สูง เพื่อสนับสนุนการพัฒนาพื้นที่อย่างเต็มที่ รองรับการเติบโตศูนย์ธุรกิจ EEC และเมืองใหม่น่าอยู่อัจฉริยะ โดยโครงการนี้ตั้งงบประมาณไว้ 100-200 ล้านบาท และจะเริ่มจัดตั้งของบในปีงบประมาณ 2569”

นายขจร ใบพลูทอง ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมสำรวจ กรมชลประทาน บอกถึงความต้องการใช้น้ำใน 3 จังหวัดภาคตะวันออกที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล จนต้องเกิดโครงการพัฒนาแหล่งน้ำและเมืองใหม่อัจฉริยะ

...

สำหรับแผนการปรับปรุงและพัฒนาอ่างเก็บน้ำเพื่อแจกจ่ายรองรับการสร้างเมืองใหม่ ในระยะแรกจะพุ่งไปที่ลำน้ำคลองบางไผ่และสาขา ที่ผ่านการศึกษาแล้วว่ามีความเหมาะสม และมั่นใจว่าปริมาณน้ำจะเพียงพอ ส่วนการสร้างเมืองต้องมีแผนในการรองรับน้ำ ก่อนที่จะระบายลงลำน้ำสาขา เพื่อที่จะรองรับในระยะที่ 2 ในปี 2580 ที่ปริมาณการใช้น้ำนั้นจะเพิ่มขึ้น ก็จะพิจารณาสร้างพื้นที่กักเก็บน้ำเพิ่ม โดยเน้นแนวทางที่จะอิงไปกับธรรมชาติให้ได้มากที่สุด มีการรักษาสภาพแวดล้อมให้ได้มากที่สุด เนื่องจากใกล้กับแหล่งอุตสาหกรรม โดยจะนำต้นไม้มาปลูกล้อมรอบพื้นที่เก็บน้ำ เพื่อที่จะดูดซับมลพิษต่างๆ และเป็นการช่วยชะลอความเร็วของน้ำ หากปีไหนมีปริมาณน้ำที่มากน้ำก็จะไหลลงพื้นที่ด้านล่างที่เป็นพื้นที่การเกษตรของชาวบ้าน พร้อมทั้งวางแผนพัฒนาและออกแบบให้มีผลกระทบต่อประชาชนน้อยที่สุด

นอกจากนั้นโครงการนี้ยังถือเป็นโครงการนำร่อง ในการบริหารจัดการน้ำผ่านการประยุกต์ใช้การแก้ปัญหาที่อาศัยธรรมชาติเป็นพื้นฐาน (Nature-based solution: NbS) ของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ สกพอ. ที่มีแผนเริ่มดำเนินงานเป็นระยะแรก เพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้เป็นแหล่งน้ำต้นทุน เพิ่มเสถียรภาพความมั่นคงด้านน้ำ รวมทั้งรักษาสภาพแวดล้อมโดยการออกแบบภูมิสถาปัตยกรรมที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ ซึ่งอาจเป็นการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำขนาดเล็ก และอาคารกักเก็บน้ำด้านท้ายอ่างฯ ที่สามารถกักเก็บน้ำต้นทุนได้ประมาณ 2.34 ล้าน ลบ.ม. นอกจากนี้ กรมยังได้ศึกษาแนวทางการออกแบบองค์ประกอบโครงการทางด้านสถาปัตยกรรมสีเขียว หรือ Green Design ได้แก่ การเชื่อมโยงพื้นที่สีเขียวและพื้นที่แหล่งน้ำทั้งในและนอกพื้นที่ศึกษาเข้าด้วยกัน มีอาคารศูนย์การจัดประชุม นันทนาการ และกีฬา ให้สอดคล้องกับแผนดำเนินงานโครงการศูนย์ธุรกิจ EEC และเมืองใหม่น่าอยู่อัจฉริยะ และเป็นโครงข่ายที่ใช้ประโยชน์ได้ทั้งเชิงฟังก์ชันการบริหารจัดการน้ำ นันทนาการ และเชิงนิเวศ เป็นต้น

ทั้งนี้ เดิมมีชาวบ้านจำนวนหนึ่งที่เคยต่อต้านการทำโครงการนี้ แต่เมื่อได้ฟังนโยบาย แนวคิด และแผนผังการทำโครงการโดยที่ไม่ทำลายระบบนิเวศ และชาวบ้านไม่ต้องย้ายที่อยู่ ต่างยินดีที่การพัฒนานี้ทำให้เมืองเจริญขึ้น และคาดหวังว่าเศรษฐกิจชมชุนจะดีขึ้นด้วย.

กรวัฒน์ วีนิล

คลิกอ่าน “ข่าวเกษตร” เพิ่มเติม