ศาลอุทธรณ์ยืนตามคำตัดสินศาล ชั้นต้น พิพากษาประหารชีวิต “เสธ.มุ่ย” และพวก 3 คน คดีฆ่าประธานโซลาร์เซลล์ แต่เพิ่มโทษมือปืนจากจำคุกตลอดชีวิตเป็นประหารชีวิต รวมโทษประหาร 4 คน ส่วน ส.จ.เก่ง เป็นธุระจัดหาทีมฆ่า โทษจำคุกตลอดชีวิต หลังเกิดความขัดแย้งธุรกิจโซลาร์เซลล์ที่ทำร่วมกัน

ที่ศาลจังหวัดสมุทรปราการ เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 3 มี.ค. ศาลอุทธรณ์ภาค 1 อ่านคำพิพากษาในคดีที่จำเลยที่ 1 นายโชติทิวัตถ์ จิรภัทรพุฒิธนา จำเลยที่ 2 นายสมศักดิ์ มุ่ยแฟง จำเลยที่ 3 นายวิฑูรย์ กรีธาธร จำเลยที่ 4 นายวรวุฒิ ผาสุก และจำเลยที่ 5 นายวัชรพงษ์ พราหมณี ยื่นอุทธรณ์ในคดีร่วมกันใช้จ้างวานด้วยวิธีการอื่นใดให้ผู้อื่นกระทำผิดฐาน ร่วมกันฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ร่วมกันมีอาวุธปืน และเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และพกพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้านโดยไม่มีเหตุอันควร

คดีนี้สืบเนื่องจากคืนวันที่ 17 พ.ย.60 ตำรวจ สภ.เมืองสมุทรปราการ รับแจ้งเหตุชายถูกยิงมีผู้เสียชีวิตทราบชื่อนายอัครนันท์ มงคลชลสวัสดิ์ อายุ 56 ปี ประธานบริษัท ฟินิกซ์ เวิลด์ เอนเนอร์จี จำกัด ให้บริการระบบโซลาร์เซลล์แบบครบวงจร และยังเป็นพ่อของผู้พิพากษา เหตุเกิดที่ทางเข้าหมู่บ้านลัลลี่วิลล์ ซอยมังกรนาคดี ต.แพรกษา อ.เมืองสมุทรปราการ สอบสวนทราบว่าก่อนเกิดเหตุมีคนเห็นทั้ง 2 ฝ่ายเปิดประตูลงจากรถก่อนจะโต้เถียงกันอย่างรุนแรงและชกต่อยกัน ก่อนที่คนร้ายจะวิ่งกลับไปที่รถแล้วหยิบปืน 11 มม. กระหน่ำยิงผู้ตายจนเสียชีวิต

ต่อมาตำรวจสืบสวนเชื่อว่าน่าจะไม่ใช่เรื่องขับรถปาดหน้ากัน และพบว่าผู้ตายเคยขัดแย้งกับบริษัทเก่าที่เคยร่วมลงทุนด้วยกัน ตั้งประเด็นเรื่องความขัดแย้งเรื่องธุรกิจ เชื่อมโยงไปยังนายโชติทิวัตถ์ จิรภัทรพุฒิธนา จำเลยที่ 1 พ.อ.สมศักดิ์ มุ่ยแฟง หรือ “เสธ.มุ่ย” จำเลยที่ 2 เนื่องจากร่วมกันเปิด บ.โซลาร์เซลล์ ก่อนที่ผู้ตายจะแยกตัวไปเปิดบริษัทของตัวเอง เพื่อรับงานลูกค้าจากต่างประเทศ รวมทั้งได้ลูกค้าเก่าจากบริษัทเดิม เนื่องจากลูกค้ามีความเชื่อมั่นในตัวผู้ตาย ทำให้บริษัทที่ทั้ง 3 คน เคยทำร่วมกันขาดรายได้จำนวนมาก และมีทีท่าว่าจะล้มละลาย

...

หลังจากนั้นนายโชติทิวัตถ์และ พ.อ.สมศักดิ์ติดต่อไปยังนายวิฑูรย์ กรีธาธร หรือ “ส.จ.เก่ง” อดีต ส.จ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี ให้จัดหามือปืนมาจาก จ.เพชรบุรี รับงานฆ่าในราคา 4 แสนบาท ต่อมา ส.จ.เก่งนำทีมมือปืนมา 3 คน ประกอบด้วย นายวรวุฒิ ผาสุก จำเลยที่ 4 นายวัชรพงษ์ พราหมณี จำเลยที่ 5 และนายโก้เสียชีวิตไปอย่างปริศนาจากอุบัติเหตุเชื่อว่าน่าจะถูกฆ่าตัดตอนนั่งรถมาจากจ.เพชรบุรี มาเฝ้าดูความเคลื่อนไหวที่หน้าบ้านของผู้ตาย เมื่อพบผู้ตายขับรถออกจากบ้านพัก ขับรถตามประกบก่อนทำทีจัดฉากว่ารถเฉี่ยวชนกัน จากนั้นใช้ปืนยิงจนเสียชีวิต ภายหลังตำรวจติดตามตัวทีมสังหารได้ ชั้นสอบสวนทั้งหมดยังให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา

ต่อมาเมื่อวันที่ 20 ม.ค.63 ศาลชั้นต้นพิพากษาประหารชีวิตนายโชติทิวัตถ์ จิรภัทรพุฒิธนา จำเลยที่ 1 นายสมศักดิ์ มุ่ยแฟง จำเลยที่ 2 และนายวรวุฒิ ผาสุก จำเลยที่ 4 ส่วนจำเลยที่ 3 นายวิฑูรย์ กรีธาธร และจำเลยที่ 5 นายวัชรพงษ์ พราหมณี ตัดสินจำคุกตลอดชีวิต ก่อนที่ทั้งหมดจะต่อสู้คดีในชั้นอุทธรณ์

ขณะที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนตามคำตัดสินของศาลชั้นต้นของจำเลยที่ 1, 2, 3, 4 แต่เพิ่มโทษจำเลยที่ 5 คือนายวัชรพงษ์ พราหมณี มือปืนที่ลั่นไกสังหาร เพราะคำให้การของจำเลยฟังไม่ขึ้น และหลักฐานการพิสูจน์ยังปราศจากข้อสงสัย เพิ่มโทษจากจำคุกตลอดชีวิตเป็นประหารชีวิตสถานเดียว