วันที่ 19 และ 21 กันยายน 2563 (เวทีที่ 1, 2) กำหนดการร่วมประชุมรับฟังความเห็นของประชาชนครั้งที่ 3 โครงการสร้าง “เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์” อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก เพื่อทบทวนร่างรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม มาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม

มาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม สำหรับโครงการ กิจกรรม หรือการดำเนินการที่อาจมีผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ คุณภาพสิ่งแวดล้อม สุขภาพอนามัย คุณภาพชีวิตของประชาชนในชุมชนอย่างรุนแรง...ภายใต้ “โครงการจัดตั้งเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์วิจัยเครื่องใหม่ เพื่อการแพทย์ เกษตรกรรม และอุตสาหกรรม” ของสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน)

ผศ.นพ.สุธีร์ รัตนะมงคลกุล หัวหน้าภาควิชาเวชศาสตร์ป้องกันและสังคม คณะแพทยศาสตร์ มศว องครักษ์ บอกว่า ปัญหาใหญ่สุดของโครงการนี้คือ การมีส่วนร่วมของประชาชนต่อโครงการขนาดใหญ่ของรัฐที่ไม่สามารถเข้าถึงการรับรู้ของประชาชนคนไทยและคนนครนายกได้

“ขอเรียกร้องกับรัฐบาลได้สร้างการรับฟังที่แท้จริง ไม่ทำเวทีประชาพิจารณ์ให้เป็นเพียงพิธีกรรมเพื่อให้โครงการนี้ผ่านไป เพราะงบประมาณก่อสร้างโครงการนี้สูงถึงเกือบสองหมื่นล้านบาท ซึ่งยังไม่รวมระบบต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นอีก แต่กลับไม่มีการนำเสนอผลการศึกษาความคุ้มค่าเลย”

...

ในยุค “โควิด-19” ที่ประเทศต้องกู้หนี้ยืมสินเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและลูกหลานที่ต้องเกิดมาพร้อมต้องใช้หนี้ในอนาคต ความคุ้มค่าในการใช้งบประมาณเป็นสิ่งสำคัญมากจนเราต้องพักการซื้อเรือดำน้ำไว้ก่อน โครงการนี้ก็เช่นกัน...ควรที่ผู้รับผิดชอบจะได้เปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายได้ให้ความเห็นต่อโครงการอย่างกว้างขวาง

เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเหมือนกับโครงการเตาปฏิกรณ์ขนาด 10 เมกะวัตต์ที่คิดทำเมื่อ 20 ปีที่แล้ว...ที่รัฐบาลสูญเสียไปเกือบสองพันล้านบาทโดยไม่ได้รับอะไรเลย

อีกทั้ง “ภัยพิบัติ” ที่นับวันจะเกิดบ่อยและถี่ขึ้น ที่จะส่งผลต่อการแพร่กระจายของรังสีได้ ซึ่งค่าใช้จ่ายเพื่อการจัดการกับภัยพิบัติทางนิวเคลียร์นั้นประเมินค่ามิได้เลยเหมือนกับกรณีที่เกิดขึ้นที่เมืองฟูกูชิมะ ประเทศญี่ปุ่นมาแล้ว จึง...ได้โปรดรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนอย่างจริงใจ

วันนี้ ผศ.นพ.สุธีร์ ยอมรับตามตรงว่าไม่นึกไม่ฝันว่าโครงการสร้าง “เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์” ที่เคยล้มเลิกไปแล้วจะฟื้นคืนชีพกลับมาใหม่และตั้งใกล้บ้านผมเอง...มาอยู่ตั้งแต่ปี 2546 ใครจะยอมก็ช่างแต่ผมไม่ยอม

“ยุคนั้นนึกว่าจะล้มเลิกไปแล้วแต่มาวันนี้กลับจะสร้างขึ้นมาใหม่ก็รู้สึกกังวลมาก ปัญหาก็คือคนองครักษ์กำลังจะถูกมัดมือชก กำลังจะตัดสินแล้วว่าจะเดินหน้าโครงการนี้ สร้างแน่นอน”

ประหนึ่งให้ความรู้สึกอัดอั้นเหลือเกินว่า...ต่อให้เราร้องอย่างไรก็ไม่ได้ผล “ไม่หยุด” ปัญหาใหญ่ก็คือ โครงการนี้เป็นโครงการของรัฐ ส่งข้อมูลมาจากผู้ว่าฯ นายอำเภอ กำนันผู้ใหญ่บ้าน...ทุกคนไม่มีใครกล้าออกมาคัดค้าน

นี่เองกระมังที่เป็นเหตุผลสำคัญที่ว่า ทำไม? มีคนออกมาคัดค้านโครงการนี้ไม่มากนัก

เทียบให้เห็นภาพกับอีกโครงการ...โรงไฟฟ้าชีวมวลของภาคเอกชน ไม่ใช่โครงการที่สั่งจากศูนย์อำนาจลงมา ผู้นำในชุมชนออกมาคัดค้าน ต่อต้านกันอย่างเข้มแข็ง ทั้งๆที่เตามีขนาดเล็กมาก

ข้อสำคัญคือ เตามีขนาดใหญ่กว่าที่บางเขน 10 เท่า นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มที่ศูนย์นิวเคลียร์แห่งนี้จะผลิตป้อนให้กับอุตสาหกรรมนิวเคลียร์ในพื้นที่อีอีซี ด้วยมีความต้องการมากถึงร้อยละ 25 ของนิวเคลียร์ทั้งประเทศ

คนในวงการให้ข้อมูลมาว่า...นิวเคลียร์ในภาคอุตสาหกรรมที่จะป้อนให้ตามความต้องการที่มากมายที่ว่านี้ จะถูกนำเอาไปใช้เพื่อเอกซเรย์ท่อแก๊ส... ท่อน้ำมัน เพื่อทดสอบการรั่วซึม

ในทางเทคนิค...ไม่ได้เอาไปใช้เพื่อเป็นพลังงาน ที่ใช้ความร้อนเพื่อเอามาต้มน้ำปั่นไฟ หากแต่นำปฏิกิริยาที่เป็นรังสีแยกมาใช้

คิดสองส่วน มองในส่วนแผนพลังงานปี 2036 อีก 16 ปีข้างหน้ากำลังจะสร้างโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ เราก็คิดว่าตรงนี้อาจจะเป็นฐานหนึ่งที่จะนำไปสู่การเดินหน้าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในอนาคตกันยังไง อีกส่วนหนึ่งจะได้นำนิวเคลียร์จากที่นี่ไปส่งภาคอุตสาหกรรมพื้นที่อีซีซีที่มีความต้องการต่อเนื่อง ด้วยระยะทางขนส่งไม่ไกลกันนัก

...

ระยะทางห่างกันแค่ 60 กิโลเมตรเท่านั้น

หมอมองว่า แค่ทุกวันนี้ “กากนิวเคลียร์” ที่มีอยู่ในมือยังไม่รู้ว่าจะไปทิ้งกันที่ไหนเลย เอามาแอบทิ้งกันไว้ที่องค์รักษ์หรือเปล่า? มากน้อยอย่างไร? ก็ยังไม่มีใครรู้ได้แน่ชัด เราจะไม่กังวลได้อย่างไร ในเมื่อบ้านเราอยู่ที่นี่

พูดกันจริงๆ ถามบนโรงพักก็บอกว่าไม่มี ถามต่อหน้านายก อบต. ก็บอกว่าไม่มี เราก็เลยพยายามกดดัน เพื่อให้เราเข้าไปดูให้เห็นกับตา สุดท้าย...ก็ได้เข้าไปดูเห็นกับตาเลยว่า เป็นถังสีเหลืองๆ มีสัญลักษณ์ วางบนชั้นเหมือนสต๊อกของในห้างสรรพสินค้าเป็นชั้นๆ แล้วก็มีมอนิเตอร์บอกว่าตอนนี้รังสีตรงจุดที่ไปยืนเท่าไหร่

แสดงว่า...โครงการเดินหน้าไปมากแล้ว สิ่งปลูกสร้างรองรับเกือบทั้งหมดแล้ว ยกเว้นส่วนที่จะสร้าง “เตาปฏิกรณ์” กับห้องแล็บตามงบประมาณก้อนนี้

ท้ายที่สุดแล้ว...ความเสี่ยงอาจจะเกิดขึ้นได้ จะคุ้มกับสิ่งที่จะได้หรือเปล่า จะเสียมากกว่าได้ หรือจะได้มากกว่าเสีย ผศ.นพ.สุธีร์ บอกว่า ให้นึกถึงโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ฟูกูชิมะ ถามว่า ณ วันที่สร้างมีใครคิดบ้างว่าจะเกิด เหตุการณ์เสียหายขนาดนี้ เกิดแล้วอีก 40 ปีถึงจะเข้าไปอยู่ในพื้นที่นั้นได้

ที่กังวล...นครนายกมีรอยเลื่อนเปลือกโลกอยู่ ห่างไปไม่กี่ร้อยเมตร แล้วบวกกับมีเขื่อนขุนด่านฯ เกิดน้ำท่วมขึ้นมา...แม้กระทั่งบนพื้นที่ดินอ่อน หากเตาเกิดการร้าวขึ้นมา นิวเคลียร์หากเกิดรั่วไหลขึ้นมาก็กระจายฟุ้งปลิวตามน้ำตามลมแล้วก็ห่างแม่น้ำไม่ถึง 1 กิโลเมตร ความเสียหายจะกระจายไปได้มากน้อยขนาดไหน?

“หากจะถามถึงรัศมีความเสียหาย เตาปฏิกรณ์ที่บางเขนประเมินกันไว้...ถ้าเกิดเหตุไม่คาดฝัน นิวเคลียร์จะกระจายไปถึงปราจีนบุรี กับเตาที่องครักษ์ยังไม่มีข้อมูลที่ว่านี้ อาจกลัวว่า...บอกแล้วคนจะกลัว”

...

ข้อมูลรัศมีอันตรายก็มีความจำเป็นที่คนรับฟังความเห็นจะต้องรู้ เพื่อการตัดสินใจพิจารณาความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นได้กับชีวิตตัวเอง ครอบครัว แต่คิดกันเอาเอง “เตาปฏิกรณ์” องครักษ์ใหญ่กว่าที่บางเขน 10 เท่า กรณีเกิดความเสียหายไม่คาดฝันขึ้นก็น่าจะมีรัศมีมากกว่า 10 เท่าตัว คงไม่น้อยไปกว่านั้นแน่นอน

จาก...ปราจีนบุรีก็คงกินไปถึงโคราช 200 กิโลเมตร รัศมีการทำลายล้างระยะ 10 กิโลเมตรก็คงจะเกิดขึ้นได้มากมายนัก ไม่ว่าความเสียหายจะมากหรือน้อย...กระนั้นแล้วก็คงไม่มีใครอยากจะให้เกิดขึ้นอยู่ดี

แม้ว่า “ประเทศไทย”...จะมีการนำเทคโนโลยีทาง “นิวเคลียร์” และ “รังสี” มาใช้งานกว่า 50 ปีมาแล้วแต่การนำมาใช้ก็ต้องมีการกำกับดูแล การตรวจสอบ เพื่อให้แน่ใจว่า...ทุกอย่างเป็นไปด้วยความปลอดภัย

เรื่อง “นิวเคลียร์”...“รังสี” เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่ามีประโยชน์ แต่ถ้าใช้ไม่ถูกต้องก็อาจมีโทษได้ จำเป็นต้องมีหน่วยงานทำหน้าที่กำกับดูแล ตรวจสอบ โดย สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ ปัจจุบันสังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เพื่อให้ความมั่นใจกับประชาชน

...

อย่าปิดแผ่นฟ้าด้วยฝ่ามือ อย่าปิดความจริงที่ประชาชน...ชาวบ้านควรรู้ไม่ให้ได้รู้ โครงการสร้าง “เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์” อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก มีความ “น่ากังวล” และ “น่าเป็นห่วง” อย่างยิ่ง

“ขอเรียกร้องกับรัฐบาลให้เปิดเวทีรับฟังความเห็นจากทุกฝ่ายให้เห็นถึงความจำเป็นที่แท้จริงและแนวทางการป้องกันปัญหาที่จะเกิดในอนาคต ซึ่งจะมีมูลค่ามหาศาลมากกว่าผลประโยชน์ความคุ้มค่าที่จะเกิดในขณะนี้และผลประโยชน์นั้นเกิดกับใครก็ไม่รู้” ผศ.นพ.สุธีร์ รัตนะมงคลกุล ฝากทิ้งท้าย.