กรณีชาวบ้านบุกรุกสร้างบ้านบนถนนประวัติศาสตร์เส้นทางการค้าในอดีตของ จ.สมุทรสงคราม สาย 325 (แนวเดิม) มีฐานะเป็นทางหลวงแผ่นดิน สายบางแพ-ดำเนินสะดวก-สมุทรสงคราม ท้องที่หมู่ 1 ต.บ้านปรก อ.เมืองสมุทรสงคราม ปิดเส้นทางสัญจรของชาวบ้าน ต่อมานางสาวิตรี อาชีพโกศล เจ้าของที่ดินที่ถูกปิดกัน ได้ร้องให้กรมทางหลวงแก้ไขปัญหาแต่ไม่ได้รับการสนใจ จึงได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองสูงสุด เมื่อปี 2550 และศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษาให้รื้อบ้านที่สร้างบุกรุกถนน จำนวน 40 หลังออกไปทั้งหมด แต่กรมทางหลวงโดยแขวงการทางสมุทรสงครามไม่ได้ดำเนินการตามคำสั่งศาล เมื่อมีการร้องเรียนอีกจึงได้มีการเจรจาขอรื้อถอน 11 หลังก่อน ภายในเดือน พ.ย.2560 เมื่อเลยกำหนดไม่ได้รื้อถอน ทำให้นางสาวิตรียื่นร้องต่อศาลให้มีการดำเนินตามคำสั่งศาล ทางศาลจึงมีหนังสือแจ้งให้อธิบดีกรมทางหลวงไปชี้แจงในวันที่ 26 ก.พ.2561 ทางแขวงการทางสมุทรสงครามจึงได้ให้เจ้าหน้าที่ไปรื้อถอนบ้าน 11 หลัง เมื่อวันที่ 16 ก.พ.2561 และอธิบดีกรมทางหลวงได้ขอเลื่อนไปชี้แจงศาล วันที่ 26 ก.พ. พร้อมมีหนังสือรายงานศาลว่าได้รื้อบ้านทั้ง 11 หลังออกหมดแล้ว ปรากฏว่ามีการรื้อเพียงครึ่งหลัง อีกครึ่งหลังเอาฝาผนังมาปิดและรุกอยู่ริมตลิ่งในความดูแลของกรมเจ้าท่า ตามข่าวที่เสนอมาอย่างต่อเนื่องนั้น

เมื่อวันที่ 4 มี.ค.2561 ทีมข่าวเฉพาะกิจภูมิภาค นสพ.ไทยรัฐ รายงานเกี่ยวกับประเด็นที่อธิบดีกรมทางหลวงรายงานต่อศาลปกครองสูงสุด เมื่อวันที่ 26 ก.พ.2561 ว่า การดำเนินคดีกับผู้บุกรุก คดีถึงชั้นอัยการและอัยการส่งเรื่องกลับมาให้ตำรวจสอบสวนเพิ่มเติมใหม่นั้น พ.ต.อ.ชัชพล สมแก้ว ผกก.สภ.เมืองสมุทรสงคราม ชี้แจงว่า ตนเพิ่งมารับตำแหน่งได้ไม่นาน พออ่านข่าวพบจึงให้ ร.ต.อ.อาชัญณัฐ ไชยชโย รอง สว. (สอบสวน) พนักงานสอบสวนเจ้าของคดี นำสำนวนคดีมาตรวจสอบทราบว่า เป็นคดีอาญาที่ 266/2558 คดีนี้ได้สอบสวนเสร็จสิ้นลงแล้ว

...

พ.ต.อ.ชัชพลเปิดเผยรายละเอียดคดีว่า ข้อเท็จจริงจากการสอบสวนได้ความว่า ที่เกิดเหตุแต่เดิมเป็นถนนใช้สัญจร แต่เมื่อประมาณปี 2526 ได้มีชาวบ้านบริเวณที่เกิดเหตุและสร้างบ้านพักอาศัย ปิดทางเข้าออกของนางสาวิตรี อาชีพโกศล เป็นผลให้นางสาวิตรีได้ขอให้กรมทางหลวงเข้าไปดำเนินการแก้ไข แต่กรมทางหลวงมิได้ดำเนินการใดๆ ทำให้ปี 2544 นางสาวิตรีได้ฟ้องกรมทางหลวงต่อศาลปกครอง ต่อมาเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2558 นายอนุชาติ ศูนย์กลาง ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชา แจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีกับผู้รุกล้ำที่เกิดเหตุ พนักงานสอบสวนได้รับคำร้องทุกข์ไว้สอบสวน จากการสอบสวนมีผู้กล่าวหาและพยาน 3 ปากยืนยันว่าผู้ต้องหากระทำความผิดจริงตามข้อกล่าวหา เป็นการกระทำผิดฐาน “ปลูกสร้างบ้านหรือสิ่งปลูกสร้างในเขตทางหลวง และยึดถือครองที่ดิน ซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน” ตาม พ.ร.บ.ทางหลวง พ.ศ.2535 มาตรา 47 ประกอบ 71 และประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 มาตรา 9.109 ทวิ

ผกก.สภ.เมืองสมุทรสงคราม ชี้แจงอีกว่า คดีนี้ความผิดดังกล่าวมีอัตราโทษ จำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ คดีมีอายุครบ 10 ปี นับแต่วันกระทำผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 95 (3) และคดีนี้กรมทางหลวงซึ่งมีหน้าที่ดูแลบริเวณที่เกิดเหตุ ทราบเหตุแห่งการบุกรุกตั้งแต่ปี 2544 เมื่อนางสาวิตรีฟ้องกรมทางหลวงต่อศาลปกครอง พยานทั้ง 3 ปาก เป็นผู้ใหญ่บ้านซึ่งตรวจตราบริเวณที่เกิดเหตุ ยืนยันว่าผู้ต้องหาเข้ามาบุกรุกเมื่อปี 2541 แต่กรมทางหลวงได้มาฟ้องคดีอาญาเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2558 เป็นผลให้คดีนี้มิได้แจ้งความร้องทุกข์ภายในอายุความ ในการดำเนินคดี 10 ปี เป็นผลให้คดีขาดอายุความ สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (6) ทางคดีหลักฐานเพียงพอเมื่อส่งไปทางอัยการจังหวัด จึงเห็นควรสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาตามฐานความผิดและตัวบทกฎหมายดังกล่าวข้างต้น

ด้านนายณัฐพงศ์ ดวงแสงเหล็ก ทนายความของนางสาวิตรี อาชีพโกศล ผู้ร้อง เปิดเผยว่า ต้องขอขอบคุณทีมข่าวไทยรัฐที่ติดตามเบื้องหน้าเบื้องหลังเรื่องนี้ ทำให้ข้อมูลต่างๆที่ชัดเจนได้รับการเปิดเผยขึ้น เนื่องจากมีการปิดบังมาตลอด ไม่ได้แจ้งให้ฝ่ายผู้ร้องเรียนทราบ ต่อไปนี้จะได้ตรวจสอบทุกขั้นตอนว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐมีการปฏิบัติถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ในขั้นตอนต่างๆ เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป และจะยื่นเรื่องให้ศาล พิจารณาตรวจสอบเช่นกันว่า การรายงานต่อศาลนั้นตรงกับความเป็นจริงหรือไม่ ซึ่งข่าวคืบหน้าจะเสนอต่อไป.