เมื่อวันที่ 4 ก.พ. ที่ศาลาว่าการ กทม.1 เสาชิงช้า กทม.ร่วมกับสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) แถลงข่าวการจัดประชุมวิชาการการแพทย์ฉุกเฉินในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นระดับชาติ ครั้งที่ 9 ประจำปี พ.ศ.2568 ระหว่างวันที่ 13-15 มี.ค. ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ โดย รศ.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าฯ กทม. กล่าวว่า กรุงเทพฯ เป็นเมืองใหญ่มีความซับซ้อน มีประชากรหนาแน่น จึงอยากทำให้การแพทย์ฉุกเฉิน ตอบสนองประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งต้องอาศัยเครือข่ายในการทำงานเข้าหาผู้ป่วยได้เร็วที่สุด ในการประชุมวิชาการจะเปิดโอกาสให้ กทม. แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ปัญหา อุปสรรค ข้อจำกัด ของการดำเนินงานที่ผ่านมา รวมถึงมองไปที่อนาคตว่าจะมีการทำอะไรบ้าง เช่น การสร้างนวัตกรรมหรือแก้ระบบ บางอย่างที่เราทำไม่ได้ เมื่อเกิดเหตุเร่งด่วน ก็จะสามารถช่วยเหลือได้ทันที
รองผู้ว่าฯ กทม.กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ จะหารือถึงการบริหารจัดการดูแลผู้ป่วยและระบบรองรับผู้ที่จะเข้ามาทำงานการแพทย์ฉุกเฉิน ต้องมีการสรรหา คัดเลือก และมาตรฐานของการกำกับทักษะ ความสามารถ รวมถึงมาตรฐานรถที่นำมาใช้ ระเบียบการวิ่งรถ และการรับผู้ป่วย อย่างไรก็ตาม กทม.จะหารือกับ สพฉ. ตำรวจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการพิจารณาจัดสรรรถที่นำมาใช้งานให้เพียงพอ โดยปัจจุบันมีจำนวน 8 มูลนิธิที่มีการจดทะเบียน มีรถฉุกเฉินประมาณ 1,100 คัน มีบางช่วงเวลาที่รถไม่เพียงพอ เนื่องจากเกิดเหตุมาก ส่วนกรณีที่จะมีมูลนิธิอื่นๆมาจดทะเบียนเพิ่มนั้น เราไม่ได้ปิดกั้น แต่จะต้องพิจารณาถึงความเหมาะสมในรายละเอียด ทั้งมาตรการการทำงาน ทักษะ มาตรฐานรถ การวิ่งรถกู้ชีพกู้ภัย กฎจราจร การเข้าพื้นที่ การส่งต่อผู้ป่วย ต้องเป็นไปตามสั่งของศูนย์เอราวัณ และเงื่อนไขของการทำงานในส่วนต่างๆ ตลอดจนมีการจัดระเบียบพื้นที่ปฏิบัติการ เพื่อไม่ให้เกิดการปะทะกันเกิดขึ้น
...
ดร.พิเชษฐ์ หนองช้าง รองเลขาธิการ สพฉ. กล่าวว่า ประเทศไทยมีศูนย์รับแจ้งเหตุ 18 หน่วย ในพื้นที่กรุงเทพฯ มีศูนย์เอราวัณ ดูแลการแพทย์ฉุกเฉิน และจากนี้ภายใน 2-3 ปีนี้ ศูนย์รับแจ้งเหตุระดับพื้นฐานจะขยับไปอยู่ที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดทั้งหมด ซึ่งจะมีการปรับระบบให้ครอบคลุมการบริการ มีเป้าหมายสำคัญในอนาคตต้องมีการจัดการแพทย์ฉุกเฉินให้ครอบคลุมทั่วประเทศทุกพื้นที่.
อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่