นางสาวสุวนันท์ ภูมิภักดิ์ และนางสาว เบญจวรรณ ศรีแก้ว ได้กลายเป็น “เพชรเม็ดงามของสังคม” เพราะมีโอกาสเรียนหนังสือจนจบชั้นปริญญาตรี ด้วยพลังจาก “ข้าวก้นบาตรพระ”
หญิงสาวคนแรก ชีวิตของเธอโชคร้ายตั้งแต่วัยเยาว์ได้กลายเป็น “เด็กกำพร้ามารดา” ตั้งแต่เธอได้ลืมตาขึ้นมาดูโลกได้ไม่นาน เพราะมารดาของเธอได้เจ็บป่วยและเสียชีวิตไปอย่างไม่น่าจะเป็น
ชีวิตของเธอจึงอยู่ในความดูแลเลี้ยงดูของบิดา แต่เธอก็มักไม่ค่อยได้อยู่กับบิดามากนักเพราะบิดาไปประกอบอาชีพรับจ้างก่อสร้างบ้าง ทำงานเป็นผู้รักษาความปลอดภัยตามบริษัทต่างๆบ้าง จึงหาความแน่นอนไม่ได้ ชีวิตของเธอจึงอยู่ในการเลี้ยงดูของน้าสาวมาโดยตลอด
มูลนิธิกลุ่มแสงเทียน ได้ไปจัดออก “ค่ายอาสาพัฒนาชนบท” ครั้งที่ 31 ตามโครงการ “ความรู้ สู่เด็กชนบท” ในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ ได้มีเด็กนักเรียนหญิงคนนี้มาร่วมเข้าค่ายอบรมธรรมะ 7 วัน 7 คืน และได้ทราบความเป็นไปของเธอจากคุณครูที่ทำการสอนประจำห้องเรียนว่าชีวิตของเธอขาดผู้อุปการะ

...
...ไม่รู้ว่าจะได้มีโอกาสเรียนหนังสือไปถึงชั้นไหน? ทางมูลนิธิฯจึงได้รับเธอเข้ามาอยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูและส่งเสียให้ได้มีโอกาสเรียนหนังสือตามลำดับชั้น ใช้เวลาอุปการะเธอมาเป็นเวลา 10 ปีเต็ม ในที่สุดเธอก็ได้สำเร็จการศึกษาระดับชั้นปริญญาตรี สาขาครุศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา
หญิงสาวคนที่สอง ก็เป็นเด็กที่ครอบครัวยากจนมากในหมู่บ้านที่จังหวัดศรีสะเกษ ทางมูลนิธิฯได้รับการร้องขอความช่วยเหลือมาจากองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นว่าหญิงสาวคนนี้ครอบครัวยากจนมาก ไม่มีบ้านพักอาศัยเป็นของตนเอง ทั้งบิดา มารดา รวมถึงหญิงสาวต้องไปขอพักอาศัยอยู่บ้านคนอื่นมานานแล้ว
เมื่อได้...ไปสำรวจถึงความเป็นจริงก็ได้พบว่าเป็นเช่นนั้นจริง จึงได้สร้างบ้านพักอาศัยให้เธอและครอบครัวขึ้นมา 1 หลัง เป็นบ้านครึ่งปูนครึ่งไม้ ตามโครงการ “สร้างบ้านพักอาศัยให้เด็กยากจนในชนบท” เป็นหลังที่ 19 สิ้นค่าก่อสร้างบ้านให้เธอและครอบครัวไปเป็นเงิน 250,000 บาท
เมื่อเธอได้เรียนจบในชั้นสูงสุดของการศึกษาในพื้นที่แล้ว จึงได้อุปการะรับเธอมาเรียนหนังสือในชั้นสูงๆขึ้นไป จนในที่สุดเธอก็เรียนจบชั้นปริญญาตรี สาขาครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา กลายเป็นบัณฑิตสาวจากข้าวก้นบาตรพระวัดบางไส้ไก่คนที่ 1,314 โดยใช้เวลาฟูมฟักช่วยเหลืออยู่ 7 ปีเต็ม

ในระยะเวลา 7-10 ปีที่หญิงสาวทั้งสองคนได้เข้ามาอยู่ในความอุปการะจาก “เงินกองทุนการศึกษาช้างเผือก” ของมูลนิธิกลุ่มแสงเทียนอย่างต่อเนื่อง เธอได้ใช้ชีวิตแต่ละวันพักอาศัยอยู่ “บ้านพักเด็กกำพร้า” ที่มูลนิธิฯได้สร้างขึ้นมาให้กับเด็กๆ
อาศัยข้าวก้นบาตรของพระวัดบางไส้ไก่เป็นอาหารเช้า...อาหารกลางวันเหมือนกับเพื่อนๆอีกหลายสิบชีวิต เนื่องจากเด็กทั้งสองเป็นสุภาพสตรีที่มีมารยาทดีงาม มีความประพฤติดีมาโดยตลอด เธอได้เข้ามาทำหน้าที่เป็น “ครูอาสา” ช่วยเลี้ยงน้องและสอนหนังสือ สอนธรรมะน้องๆทุกวันในวัดบางไส้ไก่
กิจกรรมเหล่านี้ทำควบคู่ไปกับการเรียนหนังสือสำหรับตนเองไปด้วย ถ้าเป็นวันจันทร์ถึงวันศุกร์เธอก็ช่วยเลี้ยงน้องดูแลเด็กเล็กก่อนวัยเรียนสอนหนังสือน้องๆไปด้วย แต่ถ้าเป็นวันเสาร์...วันอาทิตย์เธอได้ช่วยสอนหนังสือและสอนธรรมะให้กับน้องๆที่มาเรียนธรรมะตามโครงการ “อบรมธรรมะวันหยุด”
ลงแรงลงพลังช่วยฝึกฝนเด็กนักเรียนระดับประถมศึกษา...มัธยมศึกษาตลอดทั้งสัปดาห์ พระมหาสมัย จินฺตโฆสโก ประธานมูลนิธิกลุ่มแสงเทียน เจ้าอาวาสวัดบางไส้ไก่ กทม. บอกว่า หญิงสาวทั้งสองคนต่างช่วยเหลือ แบ่งปันความสุข ความรู้ ให้กับรุ่นน้องมาอย่างต่อเนื่อง

...
เธอจึงกลายเป็น “เยาวชนตัวอย่างที่ดี” ที่มีทั้งวิชาและจรณะอย่างสมบูรณ์
บัดนี้อานิสงส์จาก “ข้าวก้นบาตรพระ” ได้ให้โอกาสและชุบชีวิตเด็กกำพร้า เด็กยากจน เด็กด้อยโอกาสให้ได้เติบโตขึ้นมาได้รับทุนการศึกษาจนกลายเป็น “บัณฑิตสาว” อย่างน่าชื่นใจและน่าอนุโมทนาอย่างยิ่ง ชีวิตของคนเราไม่สามารถเลือกเกิดได้ แต่สามารถที่จะเลือกมีหรือเลือกเป็นได้...ตราบใดที่ยังมีความมุ่งมั่น
....มีความเพียรพยายาม ดิ้นรนต่อสู้มุ่งไปสู่ความสำเร็จของชีวิตให้ได้โดยที่ไม่นานเกินรอ
ย้ำว่าผลความสำเร็จของสองชีวิตที่เกิดขึ้นนี้ มาจาก “กองทุนการศึกษาช้างเผือก” ที่มาใช้จ่ายจนมีโครงการเพื่อให้ความช่วยเหลือเด็กและประชาชนผู้ด้อยโอกาสในสังคมอยู่ในขณะนี้ 14 โครงการ วันแล้ววันเล่า เดือนแล้วเดือนเล่า ปีแล้วปีเล่าที่ตั้งใจทุ่มเทกำลังที่มีอยู่นี้เพื่อชุบชีวิตและอนาคตเด็กด้อยโอกาสในสังคม
ถึงวันนี้นับเป็นเวลา 38 ปี จนสามารถให้ความช่วยเหลือเด็กและผู้คนในสังคมได้มีอนาคตที่ดี มีความสุข มีการศึกษา รอดพ้นจากความทุกข์ยากและถึงฝั่งแห่งความสำเร็จไปแล้ว 102,644 คน และเป็นเด็กด้อยโอกาสที่ได้อุปการะส่งให้เรียนหนังสือจนจบชั้นปริญญาตรีแล้ว 1,314 คน
นอกจากนี้แล้วมูลนิธิกลุ่มแสงเทียนได้ใช้จ่ายจัดซื้อเสื้อผ้า ชุดเรียน อุปกรณ์การเรียน ค่าอาหารกลางวัน เงินทุนการศึกษา ค่าใช้จ่ายในการดำรงชีพประจำวันช่วยเหลือเด็กแต่ละคนอย่างต่อเนื่อง

...
“การศึกษา” ถือว่าเป็นหัวใจอันสำคัญยิ่งในการพัฒนาทุกด้านของมนุษย์เพราะการศึกษาย่อมบ่งบอกถึงคุณภาพชีวิตของผู้คนในสังคมนั้นๆว่ามีความสุข มีความเจริญก้าวหน้าไปมากน้อยเพียงใด
“การศึกษาย่อมพัฒนาให้มนุษย์เรามีความสมบูรณ์ทั้งทางสติปัญญาทางร่างกายและทางจิตใจ มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดสามารถใช้ความรู้ความเข้าใจไปแก้ไขปัญหาให้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี มีร่างกายที่สมบูรณ์ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บพร้อมที่จะใช้กำลังกายที่มีอยู่นี้สร้างงานให้ประสบความสำเร็จได้...”
ทั้งยังมีจิตใจที่งดงาม ผ่องใส มีศีลธรรมอันดีงาม มีธรรมะครองใจจนกลายเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ ดังนั้นการจัดการศึกษาจึงมีทางเลือกคือเรียนรู้ในระบบของการจัดให้การศึกษาและเรียนรู้นอกระบบตามความเชื่อมั่นของผู้เรียน...ผู้ปกครอง ผลสัมฤทธิ์ของการศึกษาจึงควรเกิดให้เห็นเป็นรูปธรรมทั้งทางโลก...ทางธรรม
ที่สำคัญ...ผู้ให้การศึกษา ผู้ช่วยเหลือการศึกษา ผู้สนับสนุนการศึกษาจึงควรเป็นหน้าที่ของทุกคนช่วยกันทุกฝ่ายทั้งทางตรง ทางอ้อม ทั้งนี้ การศึกษาจะเกิดคุณค่าต่อทุกชีวิตที่เป็นลูกหลานของสังคมเรา
ผู้มีจิตเมตตาศรัทธาสามารถร่วมบริจาคเงินเป็นค่าอาหารกลางวันเด็กและทุนการศึกษาเด็กด้อยโอกาสตามโครงการต่างๆของมูลนิธิกลุ่มแสงเทียน ได้ที่บัญชี “มูลนิธิกลุ่มแสงเทียน (วัดบางไส้ไก่)” ธนาคารกรุงเทพจำกัด สาขาเจริญพาศน์ เลขที่บัญชี 126-0-36151-2 ประเภทสะสมทรัพย์
ใบเสร็จรับเงินมูลนิธิฯสามารถนำไปลดหย่อนภาษีรายได้ประจำปีตามประกาศของกระทรวงการคลังลำดับที่ 788 แจ้งข้อมูลการบริจาคมาทางไลน์ 06-3232-3874, ทางโทรสาร 0-2472-4212, ทางโทรศัพท์ 0-2465-6165 ทุกวันไม่มีวันหยุด 08.00-16.00 น. หรือร่วมบริจาคเป็นข้าวสาร อาหารสด อาหารแห้ง เครื่องครัว นม ขนม เครื่องเขียน เครื่องกีฬา อุปกรณ์การศึกษาให้เด็กได้ที่มูลนิธิกลุ่มแสงเทียน วัดบางไส้ไก่เขตธนบุรี กทม.
...
ขอขอบคุณขอบใจผู้มีจิตเมตตาและศรัทธาที่ได้เคยร่วมบริจาคแบ่งปันช่วยเหลือเป็นข้าวปลาอาหาร...เงินมาเป็นค่าใช้จ่ายเลี้ยงดูเด็ก มอบให้เป็นทุนการศึกษาเด็กที่อยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูมาโดยตลอด คนละเล็กคนละน้อยก็สามารถชุบชีวิตเด็กด้อยโอกาสให้เติบโตมาเป็น “ช้างเผือกสาว” ให้กับสังคมได้เช่นกัน
“ให้แล้วให้เลย ช่วยเหลือแล้วช่วยเหลือเลย”...แต่อนาคตของลูกหลานไทยในเส้นทางที่งดงามก็หมายถึงอนาคตประเทศชาติที่มีความเจริญมั่นคงยั่งยืน.