คดีที่ชุดกองปราบปรามบุกรวบ “แก๊งทวงหนี้ข้ามชาติ” ที่มี นายเจรามี แมนเชสเตอร์ อายุ 41 ปี ชาวอเมริกัน นายลูอิส วิลเลียม ซิสกิน อายุ 52 ปี ชาวอเมริกัน และ นายเอกบดินทร์ ประสิทธิ์นฤทธิ์ อายุ 32 ปี ชาวไทย 3 ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ข้อหา “ร่วมกันเรียกค่าไถ่ พยายามฆ่า อั้งยี่ ซ่องโจร หน่วงเหนี่ยวกักขัง”
หลังก่อเหตุอุ้มนายเวน ยู ชุง ชาวไต้หวัน เรียกค่าไถ่กลางกรุงย่านทองหล่อชนิดไม่กลัวกฎหมาย
สาเหตุมาจากปมขัดแย้งทวงหนี้ธุรกิจมูลค่ากว่า 93 ล้านบาท
ปลายปี 2563 นายลูอิส ผู้ต้องหาติดต่อซื้อขายถุงมือยางกับบริษัทแพดดี้ เดอะรูม เทรดดิ้ง จำกัด แต่งตั้งให้บริษัท มายกรีน คอนเซาท์ติ้งแอนด์คอนเซียส จำกัด ของ นางเอมิลี่ ชาวไต้หวัน เป็นผู้เจรจาธุรกิจ แต่บริษัทนายลูอิสได้รับถุงมือยางที่ไม่ได้คุณภาพ ขอคืนสินค้าและเงินที่จ่ายไปกว่า 93 ล้านบาท แต่ถูกนางเอมิลีปฏิเสธ นายลูอิสทราบว่าหนึ่งในตัวแทนบริษัทนางเอมิลี มี นายเวน ยู ชุง ชาวไต้หวัน อาศัยอยู่ในไทย

...
นายลูอิสว่าจ้าง นายไมเคิล กรีนเบิร์ก อายุ 32 ปี ชาวอิสราเอล ซึ่งเปิดบริษัทนักสืบเอกชนในประเทศไทยมานานตั้งแต่ปี 2553 ช่วยติดตามทรัพย์สินคืนจากคู่กรณีค่าจ้าง 5 ล้านบาท นายไมเคิล กับทีมที่มีนายเจรามีอดีตนาวิกโยธินสหรัฐอเมริกา มารับงานติดตามทวงหนี้ของนายลูอิสคืนจากนักธุรกิจชาวไต้หวัน
ปลายเดือน มี.ค. นายเจรามีวางแผนทำทีขอนัด นายเวน ยู ชุง ผู้เสียหายชาวไต้หวัน ซึ่งเป็นตัวแทนบริษัทคู่กรณี อ้างว่าต้องการสั่งซื้อถุงมือยาง นัดที่ร้านอาหารย่านทองหล่อ 2 ครั้ง ระหว่างที่นัดเจรจามีกลุ่มผู้ต้องหาทั้งชาวไทยและต่างชาติ 6-7 คน มี พ.ต.ท.กฤษณพร ทัพทวี รอง ผกก.6 บก.จร. อยู่ในเหตุการณ์นัดเจรจาและล็อกผู้เสียหายใส่กุญแจมือไปห้องพักที่อยู่ห่างไป 200 เมตร ภายในห้องพักมีกลุ่มผู้ต้องหาอีกจำนวนหนึ่งรออยู่แล้ว
ระหว่างที่ผู้เสียหายถูกคุมตัวอยู่ในห้องพัก กลุ่มคนร้ายชาวไทยและชาวต่างชาติข่มขู่และทำร้ายร่างกาย คนร้ายใช้โทรศัพท์มือถือผู้เสียหายติดต่อไปหานางเอมิลี หัวหน้าบริษัทของผู้เสียหายในต่างประเทศ ข่มขู่เรียกเงิน 2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และข่มขู่เรียกเงินจากญาติ 1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ รวมเป็นเงิน 90 ล้านบาท หัวหน้าบริษัทชาวไต้หวันและญาติของผู้เสียหายไม่ได้ทำตามข้อตกลง ขอความช่วยเหลือไปยังสถานทูตและเจ้าหน้าที่ตำรวจ กลุ่มคนร้ายเห็นท่าไม่ดีรีบพาตัวผู้เสียหายออกจากห้องพักมาเจรจากับนายลูอิส ก่อนบังคับนำผู้เสียหายมาที่ สน.ทองหล่อ พยายามเกลี้ยกล่อมผู้เสียหายเซ็นชื่อบันทึกประจำวัน ไม่ติดใจเอาความ

แต่ผู้เสียหายไม่ยอมลงชื่อกลุ่มผู้ต้องหากลับไป ผู้เสียหายเข้ารักษาตัวที่ รพ.ก่อนเข้าแจ้งความที่ สน.ทองหล่อ ให้ดำเนินคดีกับกลุ่มคนร้ายทั้งหมด 8 คน คนไทย 1 คน และชาวต่างชาติ 7 คน
พฤติกรรมที่โหดเหี้ยมของกลุ่มแก๊งคนร้าย ท้าทายกฎหมายบ้านเมืองไทย
พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. สั่งให้ พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช รอง ผบช.ก. หัวหน้าส่วน ปฏิบัติการศูนย์ปราบปรามคนร้ายข้ามชาติและเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย สำนักงานตำรวจแห่งชาติหรือ “ศปชก.ตร.” กองปราบปราม ร่วมกับ ตำรวจนครบาล สืบสวนรวบรวมหลักฐานดำเนินคดี เนื่องจากเป็นการกระทำที่อุกอาจไม่เกรงกลัวกฎหมาย พนักงานสอบสวนขออนุมัติออกหมายจับผู้กระทำผิดได้ทั้งหมด 8 คน
ก่อนที่ พล.ต.ต.จิรภพ และ พล.ต.ต.สุวัฒน์ นำ ชุดปฏิบัติการพิเศษหนุมาน เข้าปิดล้อมจับกุมผู้ต้องหาได้ 3 ราย คือ นายลูอิส นายเจรามี และนายเอกบดินทร์ ในความผิดฐาน “ร่วมกันเรียกค่าไถ่ พยายามฆ่า อั้งยี่ ช่องโจร และความผิดต่อเสรีภาพหน่วงเหนี่ยวกักขัง” นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ ดำเนินคดี
ต่อมา พ.ต.ท.กฤษณพร ทัพทวี รอง ผกก.6 บก.จร. ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาข้อหาเดียวกันเข้ามอบตัวที่กองปราบปราม ซึ่ง ผบก.จร. มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง

...
พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผบช.น. มีคำสั่งให้สอบสวนเชื่อมโยงเครือข่ายแก๊งทวงหนี้ข้ามชาติ และเร่งรัดติดตามผู้ที่หลบหนีมาขยายผล เนื่องจากรูปแบบการก่อเหตุที่ท้าทายกฎหมาย และอาศัยช่องกฎหมายเป็นเครื่องมือ มีนายตำรวจและผู้มีอิทธิพลมาเกี่ยวข้องน่าเชื่อว่าเคยรับงานและก่อเหตุมาหลายครั้ง
พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช รอง ผบช.ก. กล่าวกับ “ทีมข่าวอาชญากรรม” ว่า “คดีนี้จากพฤติการณ์การกระทำความผิดของกลุ่มผู้ต้องหาทั้งชาวต่างชาติและคนไทยที่ร่วมขบวนการ ถือว่ากระทำการอย่างอุกอาจ ไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย มีการวางแผน แบ่งหน้าที่ชัดเจน ตั้งแต่การนัดแนะเหยื่ออุ้มเหยื่อไปห้องพักที่มีคนร้ายอีกกลุ่มรออยู่แล้ว รวมทั้งการข่มขู่ ทำร้ายร่างกาย โทร.ไปยังต่างประเทศเพื่อขู่เรียกเงิน พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. จึงมอบหมายให้นำตำรวจกองปราบฯร่วมสืบสวนทำคดีกับตำรวจนครบาลเร่งรัดติดตามจับกุม หากปล่อยทิ้งไว้ไม่ดำเนินการอย่างเด็ดขาดและจริงจังต่อไปอาจจะเกิดเหตุการณ์ขึ้นอีก ความปลอดภัยในสังคมจะไม่มี ในส่วนของความขัดแย้งทางธุรกิจก็ให้ว่ากันไป แต่สิ่งที่กลุ่มคนร้ายทำ อุ้มเหยื่อข่มขู่กลางร้านอาหารดังย่านธุรกิจกลางกรุงเทพฯ กลางวันแสกๆ ไม่เกรงกลัวกฎหมาย เป็นสิ่งที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นในประเทศไทย จึงมีการดำเนินการรวบรวมหลักฐานและเร่งรัดติดตามจับกุมมาดำเนินคดี ไม่ว่าจะเป็นอาชญากรรมข้ามชาติหรือใครก็ตามที่กระทำความผิดแบบนี้ ตำรวจต้องดำเนินการอย่างเด็ดขาด”
ผลงาน กองปราบปรามและตำรวจนครบาล จับกุมแก๊งอาชญากรรมต่างชาติ อุ้มข่มขู่รีดไถเหยื่อกลางวันแสกๆ แถมยังพาไปโรงพักให้ผู้เสียหายลงชื่อไม่เอาความ พฤติการณ์ท้าทาย และหาช่องกฎหมายเพื่อเอาตัวรอดของกลุ่มผู้ต้องหา คงไม่ใช่โจรกระจอก เครือข่ายที่มีทั้งคนมีสี ผู้มีอิทธิพล ร่วมแก๊ง “ทวงหนี้นอกระบบ”
...
ถ้าตำรวจกองปราบฯไม่ยับยั้งใช้ยาแรงเข้าค้นจับกุม เชื่อว่าจะมีคนตกเป็นเหยื่ออุ้มรีดอีก
กองปราบปรามยึดมั่นในหน้าที่ ไม่ปล่อยให้ใครอยู่เหนือกฎหมาย.
ทีมข่าวอาชญากรรม