เรื่องเล่า “ยิ้มพันตำลึงทอง” เป็นเรื่องจริงในชุดประวัติศาสตร์จีน เล่าต่อๆกันมาตั้งแต่ยุคแรกของราชวงศ์โจว มาถึงวันนี้ กว่า 2800 ปี (แลหลังแดนมังกร ถาวร สิกขโกศล แปล นานมีบุ๊คส์ พิมพ์ครั้งที่ 2 พ.ศ.2542)ทุกถ้อยความตรงตามต้นฉบับ เริ่มต้นดังนี้ โจวอิวหวาง ทรราชองคนหนึ่ง ราชการงานเมืองใดก็ไม่แยแส ใส่ใจแต่เรื่องสุรา นารี ดนตรี และความบันเทิงนานาขุนนางผู้ใหญ่ชื่อเจ้าซู่ไต้ตักเตือนว่า “พระองค์ควรใส่ใจแสวงหาคนดีมีปัญญามาช่วยราชการแผ่นดิน ไม่ควรใส่ใจในการแสดงหาหญิงงามอีกแล้ว” โจวอิวหวางโกรธ ถอดยศเจ้าซุู่ไต้ และขับไล่ไปทันทีขุนนางผู้ใหญ่อีกคนชื่อเปาเซี่ยง เข้าไปตำหนิ “พระองค์ขับไล่ขุนนางดีๆ หากทำเช่นนี้ต่อไป เห็นทีราชวงศ์โจวจะดำรงมั่นอยู่ไม่ได้”โจวอิวหวางได้ฟัง ก็จับเปาเซี่ยงเข้าคุกเพื่อช่วยเหลือให้เปาเซี่ยงพ้นโทษ ครอบครัวเปาเซี่ยงซื้อสาวงามจากชนบทคนหนึ่ง ตั้งชื่อว่า “เปาสือ” แล้วนำไปถวายโจวอิวหวาง โจวอิวหวางเห็นนางเปาสือสวยกว่าหญิงทุกคนในวัง ก็พอใจ อภัยโทษปล่อยเปาเซี่ยงออกจากคุกโจวอิวหวางเฝ้าตามติดเปาสือเหมือนเงาตามตัว แต่เปาสือเอาแต่ขมวดคิ้วนิ่วหน้า ไม่มีเค้าแห่งความยิ้มแย้มในใบหน้าเลยแม้แต่น้อย โจวอิวหวางจึงประกาศว่า “ถ้าใครทำให้นางเปาสือยิ้มได้ จะให้ทองเป็นรางวัลพันตำลึง”มีคนทรามช่างสอพลอชื่อกว๋อสือฟู่ เสนอให้พานางเปาสือขึ้นไปพักผ่อนบนเขาหลีซาน พอค่ำก็จุดไฟสัญญาณ แจ้งข่าวศึก หลอกให้เจ้าผู้ครองนครต่างๆหลงเชื่อ โดยหวังว่านางเปาสือจะตกใจยิ้มออกระหว่างโจวอิวหวางพานางเปาสือไปยังพลับพลาบนเขาหลีซาน เจิงป้อโหย่ว อาของโจวอิวหวางทัดทานไม่ให้ทำตามข้อเสนอของหว๋อสือฟู่ โจวอิวหวางตำหนิว่าพูดมากไฟแจ้งสัญญาณข่าวศึกถูกจุดขึ้น เจ้าผู้ครองนครซึ่งอยู่ในละแวกนั้นต่างก็รีบยกไพร่พลเดินทางมา ทั้งกลางวันกลางคืนจนถึงเชิงเขาหลีซานก็รอฟังคำสั่งอยู่ แต่บนพลับพลา มีแต่เสียงขับร้องฟ้อนรำโจวอิวหวางและนางเปาสือกำลังเสพสุราอาหารอย่างสำราญใจ เจ้าผู้ครองนครรู้ว่าตนถูกหลอก ต่างก็ไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งโจวอิวหวางสบอารมณ์ยิ่งนัก ถามนางเปาสือว่า “สนุกไหม?”เปาสือรู้สึกว่าทั้งน่าแค้นและน่าขำ จึงยิ้มอย่างเย็นชาออกมาครั้งหนึ่งโจวอิวหวางให้ทองพันตำลึงทองเป็นรางวัลแก่กว๋อสือฟู่ เรื่องนี้เป็นที่มาของสำนวน “ยิ้มครั้งละพันตำลึงทอง”ต่อมาโจวอิวหวางถอนพระมเหสีเดิม และยีจิ้วรัชทายาทออกจากตำแหน่ง ตั้งนางเปาสือเป็นมเหสี และป๋อฝูบุตรชายเป็นรัชทายาทยีจิ้วหนีไปยังนครเซิน ร่วมกับพวกเผ่าซีหยงยกทัพเข้ามาตีนครเฮ่าจิง เมืองหลวงของราชวงศ์โจว โจวอิวหวางสั่งให้กว๋อสือฟู่จุดไฟสัญญาณแจ้งข่าวศึก ขอทัพช่วยจากเจ้าผู้ครองนครต่างๆครั้งก่อนบรรดาเจ้าผู้ครองนครถูกหลอก ครั้งนี้จึงไม่มีใครยกทัพมาช่วย โจวอิวหวาง ป๋อฝู (รัชทายาท) และกว๋อสือฟู่ ถูกฆ่าตาย นางเปาสือถูกจับเป็นเชลยเจ็ดปีต่อมา ทัพผสมของเจ้าผู้ครองนครต่างๆจึงยกมาโจมตีขับไล่พวกเผ่าซีหยง แล้วสถาปนายีจิ้วรัชทายาทองค์เดิมเป็นกษัตริย์มีนามว่าโจวผิงหวาง และย้ายเมืองหลวงไปยังนครลั่วหยางอ่านเรื่องนี้จบ ผมเดาเอา เราคงหลงระทึกกับประเด็น ยิ้มพันตำลึงทอง ประเด็นจุดไฟลวงเจ้าฯ จนลืมไปว่า เรื่องจริงในประวัติศาสตร์จีนเรื่องนี้ เกิดก่อนนิทานเรื่องเด็กเลี้ยงแกะ ที่อีสปทาสกรีกเล่าไว้ภายหลังราวสองร้อยปีค่อยๆดูๆกันไป ไม่ว่าเขมรหรือไทย ที่มีผู้นำเหมือนเด็กเลี้ยงแกะ พูดอะไรออกมาแล้วเชื่อถือไม่ได้ เราก็เชื่อเหมือนๆกัน บ้านเมืองนั้นไม่มีวันเจริญ นี่เมื่อเจอสงครามภาษีทรัมป์ ก็เริ่มมีเค้าเราตามหลังเวียดนามแล้ว.กิเลน ประลองเชิงคลิกอ่านคอลัมน์ “ชักธงรบ” เพิ่มเติม