ผ่านมาแล้ว 21 ปีจากเหตุการณ์ ปล้นปืนค่ายปิเหล็ง4 มกราคม 2547 แต่ปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังไม่มีท่าทีสงบลง ซ้ำร้ายกลับเกิดเหตุการณ์สังหารประชาชนอีกครั้งเมื่อกลางเดือนเมษายน 2568 คล้ายเหตุการณ์ตอนต้นช่วงปี 2547–2550ทีมข่าว “SEE TRUE” ไทยรัฐทีวี 32 ลงพื้นที่สำรวจสามจังหวัดชายแดนภาคใต้และประเทศมาเลเซีย สัมภาษณ์แกนนำของ 4 ขบวนการ...“อาบูฮาฟิซ อัลฮากีม” ประธานขบวนการ BIPP (Barisan Islam Pembebasan Patani) เป็นขบวนการแรกที่ก่อตั้งในปี 2502 เดิมใช้ชื่อ BNPP (Barisan Nasional Pembebasan Patani) โดยมีแนวทางเน้นเรื่องเชื้อชาติ ก่อนจะเปลี่ยนเป็น BIPP เพื่อสะท้อนอุดมการณ์ทางศาสนา อย่างไรก็ตาม กองกำลังของ BIPP ในปัจจุบันลดลงอย่างมาก หลายคนผันตัวไปสังกัดขบวนการอื่น หรือหันเข้าสู่สนามการเมืองแทนการใช้อาวุธ เขายอมรับว่าการเรียกร้องเอกราชอาจไม่ใช่เป้าหมายสุดท้ายอีกต่อไป แต่สิ่งสำคัญคือ...“ฝ่ายรัฐต้องมีเจตจำนงทางการเมืองที่ชัดเจนว่าอยากจะให้อะไรกับคนปัตตานี อาจจะเป็นเขตปกครองพิเศษแบบ Autonomy หรือ การกระจายอำนาจ แต่จะต้องเป็นวาระขึ้นมาบนโต๊ะ และฝ่ายขบวนการต้องรับฟังเสียงคนในพื้นที่ด้วย”ถัดมาคือ ขบวนการแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติมลายูปาตานี หรือ บีอาร์เอ็น (BRN) ที่มีกองกำลังมากที่สุดในพื้นที่ ก่อตั้งขึ้นในปี 2503 โดยมีแรงบันดาลใจเช่นเดียวกับ BIPP คือเหตุการณ์การอุ้มหายหะยีสุหลง แต่เหตุการณ์ที่ทำให้ชื่อของบีอาร์เอ็นถูกกล่าวถึงมากที่สุดคือ...การปล้นปืนค่ายปิเหล็งเมื่อปี 2547“อุซตาซฮรน อิสเหาะ” ผู้อาวุโสของขบวนการ เผยว่า แผนปฏิบัติการนี้วางรากฐานมาตั้งแต่ปี 2523 โดยการให้สมาชิกแฝงตัวเป็นทหารเกณฑ์เพื่อเรียนรู้แผนผังค่าย ขบวนการมีระบบระดมทุนโดยให้สมาชิกบริจาควันละ 1 บาท ตอนนี้รวมแล้วได้วันละ 1 ล้านบาท...“เป้าหมายของบีอาร์เอ็นเราต้องการการปกครองที่อุดมสมบูรณ์ ยุติธรรม และได้รับการโปรดปรานจากเอกองค์อัลลอฮฺ แม้ว่าอยู่ภายใต้ของปกครองของพระสงฆ์ก็ได้” ในกัวลาลัมเปอร์ ทีมข่าว SEE TRUE ได้สัมภาษณ์ “อารีฟ มุกตาร์” หัวหน้าฝ่ายการเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของขบวนการพูโล ซึ่งก่อตั้งโดย “ตนกูบีรอ” ในปี 2511 แม้จะมีขบวนการอื่นอยู่ก่อนแล้ว แต่เขาเห็นว่ายังไม่สามารถผลักดันปัตตานีให้ได้เอกราชจึงตั้งพูโลขึ้น โดยเริ่มจากการให้ความรู้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในจังหวัดชายแดนใต้...ภายหลังจากการประท้วงใหญ่ในปี 2518 พูโลจึงก่อตั้งกองกำลังติดอาวุธสำเร็จดร.อารีฟ ระบุว่า พูโลเป็นกลุ่มแรกๆที่เริ่มพูดคุยลับกับรัฐบาลไทยตั้งแต่ปี 2543 ก่อนเข้าสู่กระบวนการเจรจาอย่างเปิดเผยในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ โดยร่วมอยู่ในกลุ่มมารา ปาตานี“การแก้ปัญหาที่จะให้สงบให้ยุติได้ ต้องให้ทุกองค์กรเข้ามามีส่วนร่วมบนโต๊ะพูดคุย” ขบวนการต่างๆ ต้องปรับจุดยืน...“เราต้องคุยภายใต้รัฐธรรมนูญของไทยก็คืออะไรที่อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญแล้วสามารถให้กับพื้นที่ตรงนี้ได้ที่จะให้คนในพื้นที่มีส่วนร่วมหรือมีสิทธิในการบริหารตัวเอง ต้องมาคุยกัน”จุดหมายสุดท้ายของทีมข่าว SEE TRUE คือรัฐตรังกานู ประเทศมาเลเซีย ซึ่งเป็นฐานของขบวนการมูจาฮิดีนอิสลามปัตตานี หรือ GMIP(Gorakan Mujahideen Islam Patani) “อัสมัน อาบะ” ตัวแทนของขบวนการเล่าว่า GMIP ก่อตั้งในปี 2523 มีปฏิบัติการทั้งในเมืองและในป่า โดยจำกัดเป้าหมายเฉพาะใน 3 จังหวัดชายแดนใต้และ 4 อำเภอของสงขลา ช่วงปี 2537-2540 ขบวนการได้ร่วมมือกับพูโลและบีอาร์เอ็นในปฏิบัติการ “ใบไม้ร่วง” ซึ่งมุ่งลอบสังหารเจ้าหน้าที่รัฐ โดยเฉพาะตำรวจ แต่อัสมันยืนยันว่ามูจาฮีดีนไม่ได้มีส่วนรู้เห็นกับแผนปล้นปืนค่ายปิเหล็ง โดยมูจาฮีดีนเข้าสู่กระบวนการพูดคุยในปี 2558 รัฐบาลประยุทธ์ โดยรวมอยู่ในกลุ่มมารา ปาตานีเช่นกัน แต่ในปี 2562 รัฐบาลหยุดคุยกับกลุ่มดังกล่าว และหันไปพูดคุยกับบีอาร์เอ็นเพียงกลุ่มเดียวในปี 2563 เหตุผลเบื้องหลังการตัดสินใจนั้นอัสมันตอบว่าไม่จำเป็นต้องลงรายละเอียด แต่เขาย้ำว่าหากต้องการสันติภาพอย่างยั่งยืน รัฐไทยต้องเปิดโต๊ะเจรจาครบทุกขบวนการ โดยทิ้งท้ายว่า...“พูดง่ายๆ คือเราต้องการ Autonomy” ซึ่งหมายถึงการปกครองตนเองภายใต้รัฐธรรมนูญไทยเช่นกัน...อีกคนที่ขาดไม่ได้ คือ นายมะแอ สะอะ หรือที่รู้จักกันในชื่อ หะยีสะมะแอ ท่าน้ำ อดีตแกนนำกองกำลังติดอาวุธขบวนการพูโล ซึ่งในอดีตนั้นถือว่าเป็นขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่มีชื่อเสียง หนึ่งในหัวข้อสนทนา คือการพูดคุยสันติสุข ระหว่างรัฐบาลกับกลุ่มความไม่สงบที่ยังก่อเหตุอยู่ ซึ่งถ้านับการพูดคุยสันติสุขครั้งแรก เมื่อปี 2556 สมัยรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มาจนถึงวันนี้ เข้าสู่ปีที่ 12 แล้ว แต่สถานการณ์ในพื้นที่ก็ยังไม่ยุติ หะยีสะมะแอ จึงได้เสนอแนะการแก้ปัญหา 5 ข้อ ประกอบด้วย1.พักโทษคดีความมั่นคง ทยอยจากโทษเบาไปหาหนักขั้นต้น 50 คนก่อน 2.ช่วยเหลือประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้มีงานทำ 3.การพูดคุยเจรจาต้องให้ทุกกลุ่มเข้ามาพูดคุย ในโต๊ะเจรจา ประกอบด้วย กลุ่ม BRN กลุ่มพูโล กลุ่มมูจาฮิดีน กลุ่มภาคประชาชน (ซึ่งก็คือนายก อบจ. และประธานคณะกรรมการอิสลามใน 4 จังหวัด) 4.ช่วยเหลือคนไทยที่อาศัยอยู่ในประเทศซาอุดีอาระเบีย เพราะว่าคนไทยที่ไปอยู่ซาอุดีอาระเบียหลายคนหลายคู่ไปมีลูกที่นั่น แต่ไม่ได้แจ้งเกิดกับสถานทูตไทย จึงไม่ได้สัญชาติไทยและกลายเป็นคนไม่มีสัญชาติ5.ก่อนที่จะพูดคุยเจรจากัน ต้องสร้างความเข้าใจกับผู้ใหญ่ในประเทศมาเลเซียให้มีความเข้าใจก่อนเพราะว่าทางมาเลเซียเคยเข้าใจผิดว่าไทยจะขอให้อินโดนีเซียเป็นคนกลางในการพูดคุยเจรจา สุดท้ายแล้ว...หะยีสะมะแอ ย้ำว่า อยากให้รัฐบาลลองทำดูข้อ 1 กับข้อ 2 ก่อนว่าสถานการณ์จะดีขึ้นไหม ส่วนการเจรจาพูดคุยกับกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ อยากให้พูดคุยกับทุกกลุ่ม ...หากพูดคุยเพียงกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง กลุ่มอื่นก็ยังก่อเหตุอยู่ ขบวนการติดอาวุธในพื้นที่แม้จะมีแนวทางหรือยุทธศาสตร์ต่างกัน แต่สิ่งที่มีร่วมกันคือ เสียงเรียกร้องให้มี “โต๊ะพูดคุย” ที่ “รัฐไทย”...เปิดกว้างอย่างแท้จริง ชัดเจนว่า...เสถียรภาพของประเทศจะไม่มีวันเกิดขึ้นได้ หากยังมีเสียงสำคัญจำนวนมาก ที่ไม่มีที่นั่งอยู่บนโต๊ะเดียวกัน.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม