“น้ำกกเปลี่ยนสีขุ่นข้น”...เสียงสะอื้นของสายน้ำกก ดังกระหึ่มไปทั่วทั้งจังหวัดเชียงราย เมื่อผลการตรวจวัดคุณภาพน้ำล่าสุดพบสารหนูปนเปื้อนเกินค่ามาตรฐาน สร้างความตื่นตระหนกให้กับประชาชนที่อาศัยอยู่ริมน้ำและผู้ที่ต้องพึ่งพาแม่น้ำสายนี้ในการดำรงชีวิตช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา “สำนักข่าวชายขอบ” รายงานเวทีเสวนาออนไลน์ “น้ำกกสะอื้นและฝันร้ายถึงภัยพิบัติของชาวเชียงราย” ถูกจัดขึ้นเพื่อเปิดโปงถึงสถานการณ์อันน่าเป็นห่วงนี้ โดยผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายชรินทร์ ทองสุข ได้ออกมาเปิดเผยถึงผลการตรวจวัดคุณภาพน้ำที่น่าตกใจพบว่า มีสารหนูปนเปื้อนเกินค่ามาตรฐานใน 3 จุดสำคัญของแม่น้ำกก “แม้จะเกินมาเพียงเล็กน้อย แต่ก็ถือว่าเกินค่ามาตรฐานแล้ว” ชรินทร์ ว่า พร้อมออกมาตรการเร่งด่วนเพื่อควบคุมสถานการณ์ โดยขอความร่วมมือประชาชนงดกิจกรรมสัมผัสน้ำในแม่น้ำกก และตั้งคณะทำงานสำรวจแหล่งที่มาของสารหนูนอกจากนี้ยังสั่งการให้สำรวจการนำน้ำจากแม่น้ำกกไปใช้ในการประปา และเร่งตรวจคุณภาพน้ำประปาในพื้นที่ พร้อมทั้งเปิดศูนย์รับแจ้งเหตุสำหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสารหนูอย่างไรก็ตาม ความกังวลของประชาชนไม่ได้ลดลง นักวิชาการอย่าง สืบสกุล กิจนุกร ได้ตั้งคำถามถึงผลกระทบระยะยาวของสารโลหะหนักที่สะสมในร่างกายและระบบนิเวศ ในขณะที่ จุฑามาศ ราชประสิทธิ์ เจ้าหน้าที่อาวุโสมูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา (พชภ.) ได้ชี้ให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของน้ำกก...ที่ขุ่นมากขึ้นในช่วงหน้าแล้ง “การที่สารโลหะหนัก...สารหนูปนเปื้อนแม่น้ำกกที่เมืองเชียงรายน้อยกว่าในเชียงใหม่ เพราะที่เชียงรายมีน้ำสาขาแม่น้ำกกมาสมทบ แต่การตรวจต่อเนื่องยังมีความจำเป็นเพราะช่วงนี้ปริมาณน้ำน้อยฝนไม่ตก และจะเห็นว่าคุณภาพน้ำแย่เพราะมีสัตว์น้ำตายที่บริเวณบ้านน้ำลัด ต.ริมกก”จุฑามาศ บอกว่า ชาวบ้านบ่นกันมาก เราได้ร่วมกันทำระบบเตือนภัยกับ 7 ชุมชนริมแม่น้ำกก แต่ตอนนี้หน้าแล้งน่าจะเป็นนาทีทองของผู้ทำเหมืองทอง“ตั้งแต่ชุมชนแรกที่แม่น้ำกกไหลเข้ามาจากประเทศเมียนมา ซึ่งเป็นชุมชนที่รับน้ำ สารเคมีและโคลนมาเต็มๆ เราต้องหากระบวนการเข้าไปช่วยเหลือชุมชนเพื่อร่วมป้องกันผลกระทบ ควรมีการเจรจากับผู้ทำเหมืองภายใต้ความเกื้อกูลกัน”ขณะที่ ประเสริฐ กายทวน ชาวบ้านร่มไทย ต.ท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นหมู่บ้านแรกที่แม่น้ำกกไหลมาจากประเทศพม่า สะท้อนสถานการณ์น่าเป็นห่วง บอกว่า ตอนนี้พื้นที่เงียบเหงา ไม่มีนักท่องเที่ยว ชาวบ้านวิตกเรื่องของสภาพน้ำ“หน่วยงานราชการได้เรียกประชุมเพื่อหาทางออกร่วมกัน รวมทั้งท้องถิ่นท้องที่ อย่างไรก็ตาม ไม่มีบ้านไหนที่ใช้น้ำโดยตรง แต่จะมีปัญหาบ่อบาดาลที่อยู่ใกล้น้ำกกต้องเฝ้าระวังและตรวจสอบ และมี อสม. รพ.สต. ให้ความเข้าใจกับชาวบ้าน” ประเด็นสำคัญคือชาวบ้านเป็นห่วงเรื่องการจำหน่ายสินค้าเกษตร ที่กังวลเรื่องสารพิษ สูบน้ำกกไปรด จะมีสารติดไปด้วยไหม จะขายได้ไหม กำลังติดตามเรื่องกันอยู่ รวมทั้งปศุสัตว์ ตอนนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ตลอด แต่ที่ต้องการคือให้มี “การเจรจา” กับ “ประเทศต้นน้ำ”ปัญหาการให้ข้อมูลกับบุคคลภายนอกเช่นผู้สื่อข่าว ทำให้บางกลุ่มในพื้นที่ไม่พอใจ ชาวบ้านก็อึดอัด จึงต้องการให้ทุกฝ่ายมาร่วมกันแก้ปัญหาสถานการณ์น้ำในแม่น้ำกกยังคงอยู่ในขั้นวิกฤติ จำเป็นต้องมีการดำเนินการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนและจริงจัง เพื่อปกป้องชีวิตและสุขภาพของประชาชน และรักษาแม่น้ำสายสำคัญสายนี้ให้คงอยู่ต่อไปภาสกร จำลองราช www.transbordernews.in.th เสริมว่า น้ำกกช่วงไหลผ่านแคววัวดำ ต.แม่ยาว อ.เมือง จ.เชียงราย วันนี้ (9 เม.ย.68) ขุ่นข้นมาก ชาวบ้านที่ส่งภาพมาบอกว่าน้ำกกขุ่นข้นกว่าวันก่อนๆ ทำให้รู้สึกกังวลใจ เขายังบอกว่าตอนนี้อีกหมู่บ้านหนึ่งใกล้ๆดันพบปลาตะเพียนตายผิดปกติ“ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรต้องให้หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องเข้าไปสำรวจตรวจสอบ ตอนนี้คำร่ำลือต่างๆในชุมชนลุ่มน้ำกกมีมาก แก้ได้อย่างเดียวคือเอาข้อเท็จจริงออกมาชี้แจง”ภาพเปรียบเทียบ “ต้นน้ำกก” ในรัฐฉานเมื่อปี 59 กับปัจจุบันเห็นชัดเจนถึงความเปลี่ยนแปลงในการเปิดหน้าดินเชื่อว่าเป็นการทำเหมืองทอง กองกำลังว้า (United Wa State Army–UWSA) อนุญาตให้ชาวจีนเข้ามาทำเหมืองทองไม่สนใจคนท้ายน้ำทั้งกรณีแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย ผลกระทบต่างๆชัดเจนแต่ยังไม่มีท่าทีจริงๆจังๆจากผู้นำรัฐบาลหรือ ครม.ไทย รวมทั้งฝ่ายความมั่นคงต่างๆว่าจะแก้ปัญหานี้อย่างไรคำถามสำคัญมีว่าเนื่องจากเกรงใจ “รัฐบาลทหารพม่า” และ “ทหารว้า” หรือไม่? เพราะอ้างแต่การกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่สิ่งที่ทหารว้าทำกับประชาชนไทย ไม่เห็นทหารว้าและทหารพม่าจะไว้หน้ารัฐบาลไทยและทหารไทยเลย...มีเพียงข่าวแจกของทางการที่บอกว่า รมช.มท.ซึ่งดูแล การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ประสานกับกงสุลพม่าหลังจากพบสารโลหะหนักในน้ำกก แต่ก็ไม่มีบอกว่าจะดำเนินการอย่างไร“สถานการณ์แม่น้ำกกเป็นวาระเร่งด่วนกว่าเรื่องผลักดันบ่อนกาสิโนเป็นไหนๆ เพราะเป็นเรื่องสุขภาพของคนนับแสนที่ตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยง แต่กลับมีเพียงความเงียบงันจากรัฐบาล” ภาสกร จำลองราช กล่าวทิ้งท้าย.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม