เศรษฐกิจไทยไม่มีปาฏิหาริย์ คุณดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒน์ แถลงตัวเลขเศรษฐกิจปี 2567 ภายใต้การบริหารของรัฐบาลเพื่อไทยอย่างเป็นทางการ จีดีพีปี 2567 ขยายตัวได้เพียง 2.5% แม้จะเพิ่มขึ้นจากปี 2566 แต่ก็ไปไม่ถึง 3% อย่างที่รัฐบาลขายฝันไว้กับประชาชน ส่วน จีดีพีปี 2568 ที่รัฐบาลขายฝันไปล่วงหน้าจะขยายตัวสูงถึง 3.5% ก็กลายเป็นฝันค้าง สภาพัฒน์คาดว่าจะขยายตัวได้ 2.8% เท่านั้นเอง
คนจนอีสานที่ นายกฯแพทองธาร ชินวัตร ไปหาเสียงไว้ว่า “เพื่อไทยมาทีไร ใครจนๆ อยู่ต้องรวยแน่นอน” ทุกวันนี้ยังยากจนอยู่เหมือนเดิมและอาจจนขึ้นกว่าเดิม มีแต่นักการเมืองและนักธุรกิจไม่กี่ตระกูลที่รวยขึ้น ความเหลื่อมล้ำยิ่งถ่างกว้างขึ้นไปอีก
การคาดการณ์จีดีพีปี 2568 ที่ 2.8% คุณดนุชา เลขาธิการสภาพัฒน์ ระบุว่า ได้รวมผลของมาตรการแจกเงินคนละ 10,000 บาท (เป็นเงิน 450,000-500,000 ล้านบาท) และ ความเสี่ยงจากนโยบายกีดกันทางการค้าที่จะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง 2568 (จากผู้นำบ้าบิ่นของสหรัฐฯ) เอาไว้ด้วยแล้ว ประเด็นที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งก็คือ หลังจากที่รัฐบาล (เพื่อไทย) ดำเนินมาตรการแจกเงิน 10,000 บาท เฟส 1 สำหรับกลุ่มเปราะบาง และ เฟส 2 สำหรับผู้สูงอายุแล้ว ทำให้มีเม็ดเงินเหลือใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจอีกประมาณ 157,000 ล้านบาทเท่านั้นเอง ถ้ารวมการแจกเงิน 10,000 บาท เฟส 3 ที่กำลังจะแจกอีก ผมคาดว่ารัฐบาลมีหวังถังแตกต้องกู้เพิ่มจนชนเพดาน 70% แน่นอน
ท่านเลขาธิการสภาพัฒน์แนะนำรัฐบาลว่า ครึ่งปีหลังต้องเร่งลงทุนมากขึ้น เพื่อเพิ่มเม็ดเงินเข้าไปในระบบเศรษฐกิจ (ไม่ใช่แจกเงิน) จะช่วยให้เศรษฐกิจขยายตัวได้
ส่วน “นโยบายการเงิน” หรือ “นโยบายดอกเบี้ย” ที่รัฐบาลเพื่อไทยพยายามบีบ ผู้ว่าการแบงก์ชาติ และ ธนาคารแห่งประเทศไทย มาตลอดสองปีเศษ ให้ลดดอกเบี้ยนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ กนง. ก็เป็นห่วงเรื่องความแน่นอนต่างๆ ไม่ยอมลดดอกเบี้ยตามแรงบีบของรัฐบาล คุณดนุชา เลขาธิการสภาพัฒน์ ให้ความเห็นว่า นโยบายการเงินเวลานี้ยังไม่จำเป็นต้องเข้ามาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ เนื่องจากปัจจุบันเศรษฐกิจไทยยังขยายตัวได้ดี (จีดีพีปี 67 โตกว่าจีดีพีปี 66) แนวโน้มเงินเฟ้อในประเทศเศรษฐกิจหลักโดยเฉพาะสหรัฐฯ ยังอยู่ในทิศทางเพิ่มขึ้น ธนาคารกลางสหรัฐฯหรือเฟดอาจจะยังไม่รีบลดดอกเบี้ย ไทยจึงควร “เก็บกระสุนการเงิน” ไว้รองรับความไม่แน่นอนในระยะข้างหน้า “ถ้ายิงกระสุนผิดเวลา พอถึงเวลาต้องใช้ก็ไม่มีกระสุนแล้ว”
...
ก็หวังว่าผู้มีอำนาจเหนือรัฐบาลเพื่อไทยจะเข้าใจ “ความไม่แน่นอน (uncertainty)” ที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลกจากความบ้าระห่ำของ ประธานาธิบดีทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ และ อีลอน มัสก์ นักธุรกิจการเมืองที่ทรงพลังอำนาจในรัฐบาลทรัมป์
จีดีพีไทยปี 2568 ที่สภาพัฒน์คาดว่าจะมีการขยายตัว 2.8% เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอาเซียนชั้นนำ 6 ประเทศแล้ว จีดีพีไทยยังขยายตัวต่ำที่สุดอีกเช่นเคย อันดับ 1 เวียดนาม คาดว่าจะขยายตัว 6.0% รองมา ฟิลิปปินส์ 5.8% อินโดนีเซีย 4.8% มาเลเซีย 4.2% สิงคโปร์ คาดว่าจะขยายตัว 3% ทั้งที่ปี 2567 ขยายตัวสูงกว่าคาดการณ์ที่ 4.4% คุณดนุชา บอกว่า ถ้าต้องการผลักดันให้จีดีพีไทยปี 2568 เติบโตได้ถึง 3% หรือสูงสุดที่ 3.5% ตามเป้าหมาย (ในฝัน) ของรัฐบาล ต้องมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น
การกระตุ้นเศรษฐกิจที่ว่านี้ ไม่ใช่การแจกเงิน อย่างที่ทำมา 2 เฟส และกำลังทำเฟสที่ 3 แต่เป็น การกระตุ้นการบริโภคในประเทศ กระตุ้นการลงทุนภาคเอกชน และ กระจายเม็ดเงินลงทุนจากภาครัฐไปทั่วประเทศ ไม่ใช่รวยกระจุกจนกระจายอย่างที่เป็นอยู่
ดร.มานะ นิมิตรมงคล เลขาธิการองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน เคยทำตัวเลขไว้ ประเทศไทยมีการคอร์รัปชันปีละ 500,000 ล้านบาท ไม่รวมความสูญเสียทางอ้อม ถ้ารัฐบาลลดการคอร์รัปชันลงได้สักครึ่งหนึ่ง 50% จีดีพีไทยจะเพิ่มขึ้นทันที 1.4% ซึ่งจะช่วยให้ จีดีพีปี 68 เพิ่มขึ้นเป็น 4.2% เกิน 3.5% ที่รัฐบาลตั้งเป้าไว้ ไม่เชื่อ นายกฯอิ๊งค์ ลองไปทำดู.
“ลม เปลี่ยนทิศ”
คลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม